ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ฉาวโฉ่! รวบแก๊งพี่ชายสุภรณ์ “แรมโบ้อีสาน” อดีตรองเลขาฯ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลอบขนไม้พะยูงเถื่อนจากป่าอุทยานฯ ทับลาน มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท แถมแสบหอบเงินสด 1.5 ล้านบาทติดสินบน จนท. แต่ถูกดัดหลังหลอกให้นำเงินมาส่งก่อนรวบตัวได้ยกแก๊งรวม 7 ราย อ้างนายทุนเป็นชาวเวียดนาม ตำรวจเร่งสืบสวนขยายผล
วันนี้ (27 ม.ค.) พ.ต.อ.พลอย พิมพิสาร ผู้กำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 (ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.3) เปิดเผยว่า ได้ผสานกำลังกับชุดปฏิบัติการของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำโดย นายอรรถพล เจริญชันษา ผู้อำนวยการส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่ามรดกโลก ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เข้าทำการสกัดจับขบวนการลักลอบลำเลียงไม้พะยูงออกจากป่าอุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา (26 ม.ค.)
โดยสามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขนไม้พะยูงได้รวม 5 ราย ประกอบด้วย นายจักรรินทร์ ลาภชัย อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ที่ 14 ต.หนองโพนงาม อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ นายปราโมทย์ สีดา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 462 หมู่ที่ 12 ต.บริบูรณ์ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น นายเสกสรร ดวงจันทร์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 479 หมู่ที่ 11 ต.บริบูรณ์ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น นายระเวีย ยิ้มกระโทก อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 4 ต.เฉลียง อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา และนายสุเชษฐ อัตถาวงศ์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 349 หมู่ที่ 4 ต.เฉลียง อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพี่ชายของนักการเมืองชื่อดัง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือฉายา “แรมโบ้อีสาน” อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร )
พร้อมยึดของกลางเป็นไม้พะยูงแปรรูปขนาดหน้ากว้างตั้งแต่ 50-80 เซนติเมตร (ซม.) ยาว 2.10 เมตร รวม 10 แผ่น มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ซุกซ่อนมาภายในรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฮจ 7966 กรุงเทพมหานคร และยานพาหนะที่ใช้ร่วมกันกระทำความผิดอีก 2 คัน คือ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ หมายเลขทะเบียน ฌก 1245 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน 3993 นครราชสีมา
โดยผู้ต้องหาทั้งหมดถูกจับกุมได้ขณะกำลังลำเลียงไม้พะยูงออกมาจากเขตอุทยานแห่งชาติทับลานผ่านเส้นทางสายมาบกราด-โคกกระชาย ปากทางเข้าหมู่บ้านลำเพียก ต.ลำเพียก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา โดยนายเสกสรรทำหน้าที่ขับรถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก้ ทะเบียน ฌก 1245 กรุงเทพมหานคร นำหน้าเพื่อเคลียร์เส้นทาง และมีรถตู้ทะเบียน ฮจ 7966 กรุงเทพมหานคร ซึ่งบรรทุกไม้พะยูง มีนายจักรรินทร์เป็นคนขับ และมีนายปราโมทย์นั่งโดยสารมาด้วยวิ่งตามมาเป็นคันที่สอง ขณะที่ นายสุเชษฐ อัตถาวงศ์ ขับรถยนต์กระบะอีซูซุ ทะเบียน ท 3993 นครราชสีมา และมีนายระเวียนั่งมาด้วยขับรถปิดท้ายขบวนไม้พะยูง
ทั้งนี้ ในระหว่างการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบสวนที่ที่ทำการเขตจัดการอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่ 3 คลองน้ำมัน ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา นายสุรเชษฐ อัตถาวงศ์ ได้เจรจาต่อรองเสนอเงินสินบนจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด เจ้าหน้าที่จึงซ้อนแผนให้นายสุรเชษฐโทรศัพท์ติดต่อไปยังนายทุนชาวเวียดนามเจ้าของไม้ดังกล่าวให้นำเงินมามอบแก่เจ้าหน้าที่ที่บริเวณจุดที่ถูกสกัดจับได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่พบหญิง 2 คนขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้าเวฟ สีแดง หมายเลขทะเบียน จกก 651 นครราชสีมา นำเงินสินบนจำนวน 1.5 ล้านบาทมามอบให้เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุม ทราบชื่อทั้ง 2 คนคือ น.ส.ลัดดาวัลย์ บุตรสุ่ย อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 15 ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา และนางสุดคะนึง สุทธิประภา อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 145 หมู่ที่ 12 ต.แก่งดินสอ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ก่อนนำตัวมาสอบสวน
พ.ต.อ.พลอยเปิดเผยว่า ผลการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่าขบวนการลักลอบขนไม้พะยูงดังกล่าวรับจ้างจากนายทุนชาวเวียดนามชื่อ ถัง ไม่ทราบสกุล ซึ่งอยู่ในระหว่างการสืบหาตัว โดยมีการทำงานอย่างเป็นขบวนการ ใช้รถ 1 คันวิ่งนำหน้าเคลียร์เส้นทาง ตามมาด้วยรถขนไม้พะยูง และมีรถอีกคันปิดท้าย โดยมี นายสุเชษฐ พี่ชาย “แรมโบ้อีสาน” คอยเจรจาหากพลาดถูกจับกุมได้ ซึ่งนายสุรเชษฐได้เจรจาให้สินบนเจ้าหน้าที่ 1.5 ล้านบาท
โดยให้ผู้ต้องหาหญิง 2 คนนำเงินมาให้ ซึ่งทั้ง 2 ยังให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับเงินจำนวนดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันกระทำผิด ฐานผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
ส่วนนายจักรรินทร์ นายปราโมทย์ นายเสกสรร และนายระเวีย ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันมีไม้แปรรูปหวงห้าม (พะยูง) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สำหรับ นายสุรเชษฐถูกแจ้งทั้ง 2 ข้อหา ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป