รายงานการเมือง
ปฏิบัติการหน้าด้านๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร และสภาทาส ใช้อำนาจเผด็จการเสียงข้างมาก ช็อกคนไทยตาค้าง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วาระ 2-3 ไปตั้งแต่เมื่อช่วงตีสี่คืนที่ผ่านมา
เหตุใดเรื่องที่มีการวางกำหนดการยาวไว้ 3 วันจึงถูกรวบรัดตัดตอนให้จบภายในชั่วข้ามคืนในความเป็นจริงก็ไม่ได้เหนือไปจากที่ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าท้ายที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ต้องงัดเสียงข้างมากมาถูลู่ถูกังให้ “กฎหมายอัปยศ” ฉบับนี้ผ่านสภาให้ได้โดยเร็ว
เพียงแต่ไม่นึกว่า ส.ส.เพื่อไทยขี้ข้านักโทษหนีคดีจะ “หน้าด้าน” ขนาดนี้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เท่ากับว่าขณะนี้สภาฯสามารถส่งร่างกฎหมายที่ว่าไปให้วุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อได้เลยถือเป็นกระบวนการในช่วงท้ายก่อนที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
เท่ากับว่ากลุ่มแนวต้านเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะเบรก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
หันมาสำรวจตรวจสอบท่าทีของฝ่ายต้านที่ขณะนี้มีการชุมนุมอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ทั้งเวทีดั้งเดิมของ “กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ” หรือ กปท. ที่สวนลุมพินี ถึงนาทีนี้ยังนิ่งอยู่ในที่ตั้งเพราะเดิมวางแผนในการใช้ประเด็นการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเป็น “ตัวเร่ง” ในการขับไล่รัฐบาล
ด้าน “เวทีอุรุพงษ์” ของ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ที่นอกจากค้านกฎหมายล้างผิดเหมาเข่งแบบสุดลิ่มทิ่มประตูแล้วก็ยังก้าวหน้าไปถึงการขับไล่รัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพียงแต่ขณะนี้ยังขาดแรงหนุนในการตรึงจำนวนมวลชนให้กดดันรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น
โดยขณะนี้ก็มี “เครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด” โดย “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์-พิภพ ธงไชย-สุริยะใส กตะศิลา” ถือหางกลุ่ม คปท.อยู่ซึ่งล่าสุดได้มีการนัดประชุมอีกครั้งที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในช่วง 13.00 น.และจะมีการแถลงท่าทีในช่วง 15.30 น.
ในเบื้องต้นชัดเจนแล้วว่าจะมีการ “เป่านกหวีด” ระดมคนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลโดยยังยึดหัวหาดที่แยกอุรุพงษ์ต่อไปแต่อาจมีการปรับรูปแบบเพื่อให้การชุมนุมมีพลังและเป็นที่สนใจของสังคมมากขึ้นอย่างน้อยต้องมีการขยับขยายสถานที่ชุมนุม
ทัพใหญ่สุดตอนนี้คงเป็น “เวทีพรรคประชาธิปัตย์” ที่บริเวณใกล้สถานีรถไฟสามเสน ที่เปิดเวทีหกโมงเย็นวานนี้ได้รับเสียงตอบรับและมีผู้เข้าร่วมเป็นที่น่าพอใจ
เพียงแต่มีการประเมินว่ารัฐบาลไม่กล้าหักดิบรวบรัดลงมติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แบบม้วนเดียวจบทำให้มีการวางแผนกะเกณฑ์ว่าจะบ่มกระแสให้ไปสุกงอมในช่วงวันที่ 2 พ.ย.ที่คาดว่าจะเป็นวันโหวตลงมติวาระ 2-3 ในทีแรก
แต่เมื่อเจอ “วิชามาร” ดัดหลังก็กำลังทบทวนท่าทีและจะมีการแถลงบนเวทีโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในช่วง 10 โมงเช้า โดยหนีไม่พ้นที่จะต้องประกาศ ยกระดับการชุมนุมส่วนจะเป็นไปในทิศทางใดต้องติมตาม
เดิมทีเวทีประชาธิปัตย์นั้นได้วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาในการชุมนุมอย่างน้อย 7 วันเพื่อเผด็จศึกรัฐบาลแต่เมื่อถูกสถานการณ์บีบเข้ามา ก็เตรียมงัด “แผนสอง” ขึ้นมาใช้ก่อนกำหนด แผนที่ว่าคือการขยับยุทธภูมิเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมโดยมีการกำหนดไว้ 2-3 จุด นอกพื้นที่ความมั่นคงอาทิ ท้องสนามหลวง หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น
คาดว่าในวันนี้จะได้ข้อยุติ เพราะถือว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เหมือนโดน “ไฟต์บังคับ” ต้องอัพเลเวลเพิ่มดีกรีการชุมนุมซึ่งเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างตกผลึกคือ ให้สมาชิกพรรคการลาออกจาก ส.ส.เพื่อลงมาต่อสู้ข้างถนนอย่างเต็มตัว ตามที่เคยมีภาคประชาชนบางส่วนเรียกร้องไว้
เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้แม้จะมีเป้าหมายคล้ายกันในการต่อต้านรัฐบาพรรคเพื่อไทยแต่ทางภาคประชาชนก็ยังไม่สนิทใจในการมาเข้าร่วมกับเวทีประชาธิปัตย์ เพราะถือเป็น “เวทีนักการเมือง” ที่ยังสลัดเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงไม่หลุดหากปิดจุดอ่อนตรงนี้ได้ ย่อมเสริมพลังในการต่อกรกับรัฐบาลได้มากขึ้น
ถึงนาทีนี้เมื่อฝ่ายทรราชใกล้ทำคลอด “กฎหมายอัปยศ” แล้วเสร็จ ก็ถือว่าความล่มจมของประเทศชาติบ้านเมืองงวดเข้ามาทุกขณะ
ก็อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพร้อมทั้ง “ทุน-มวลชน” จะตัดสินใจถอดสูทโดดลงยืนข้างประชาชนจริงๆหรือยัง
ปฏิบัติการหน้าด้านๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร และสภาทาส ใช้อำนาจเผด็จการเสียงข้างมาก ช็อกคนไทยตาค้าง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วาระ 2-3 ไปตั้งแต่เมื่อช่วงตีสี่คืนที่ผ่านมา
เหตุใดเรื่องที่มีการวางกำหนดการยาวไว้ 3 วันจึงถูกรวบรัดตัดตอนให้จบภายในชั่วข้ามคืนในความเป็นจริงก็ไม่ได้เหนือไปจากที่ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าท้ายที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ต้องงัดเสียงข้างมากมาถูลู่ถูกังให้ “กฎหมายอัปยศ” ฉบับนี้ผ่านสภาให้ได้โดยเร็ว
เพียงแต่ไม่นึกว่า ส.ส.เพื่อไทยขี้ข้านักโทษหนีคดีจะ “หน้าด้าน” ขนาดนี้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เท่ากับว่าขณะนี้สภาฯสามารถส่งร่างกฎหมายที่ว่าไปให้วุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อได้เลยถือเป็นกระบวนการในช่วงท้ายก่อนที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
เท่ากับว่ากลุ่มแนวต้านเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะเบรก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
หันมาสำรวจตรวจสอบท่าทีของฝ่ายต้านที่ขณะนี้มีการชุมนุมอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ทั้งเวทีดั้งเดิมของ “กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ” หรือ กปท. ที่สวนลุมพินี ถึงนาทีนี้ยังนิ่งอยู่ในที่ตั้งเพราะเดิมวางแผนในการใช้ประเด็นการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเป็น “ตัวเร่ง” ในการขับไล่รัฐบาล
ด้าน “เวทีอุรุพงษ์” ของ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ที่นอกจากค้านกฎหมายล้างผิดเหมาเข่งแบบสุดลิ่มทิ่มประตูแล้วก็ยังก้าวหน้าไปถึงการขับไล่รัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพียงแต่ขณะนี้ยังขาดแรงหนุนในการตรึงจำนวนมวลชนให้กดดันรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น
โดยขณะนี้ก็มี “เครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด” โดย “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์-พิภพ ธงไชย-สุริยะใส กตะศิลา” ถือหางกลุ่ม คปท.อยู่ซึ่งล่าสุดได้มีการนัดประชุมอีกครั้งที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในช่วง 13.00 น.และจะมีการแถลงท่าทีในช่วง 15.30 น.
ในเบื้องต้นชัดเจนแล้วว่าจะมีการ “เป่านกหวีด” ระดมคนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลโดยยังยึดหัวหาดที่แยกอุรุพงษ์ต่อไปแต่อาจมีการปรับรูปแบบเพื่อให้การชุมนุมมีพลังและเป็นที่สนใจของสังคมมากขึ้นอย่างน้อยต้องมีการขยับขยายสถานที่ชุมนุม
ทัพใหญ่สุดตอนนี้คงเป็น “เวทีพรรคประชาธิปัตย์” ที่บริเวณใกล้สถานีรถไฟสามเสน ที่เปิดเวทีหกโมงเย็นวานนี้ได้รับเสียงตอบรับและมีผู้เข้าร่วมเป็นที่น่าพอใจ
เพียงแต่มีการประเมินว่ารัฐบาลไม่กล้าหักดิบรวบรัดลงมติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แบบม้วนเดียวจบทำให้มีการวางแผนกะเกณฑ์ว่าจะบ่มกระแสให้ไปสุกงอมในช่วงวันที่ 2 พ.ย.ที่คาดว่าจะเป็นวันโหวตลงมติวาระ 2-3 ในทีแรก
แต่เมื่อเจอ “วิชามาร” ดัดหลังก็กำลังทบทวนท่าทีและจะมีการแถลงบนเวทีโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในช่วง 10 โมงเช้า โดยหนีไม่พ้นที่จะต้องประกาศ ยกระดับการชุมนุมส่วนจะเป็นไปในทิศทางใดต้องติมตาม
เดิมทีเวทีประชาธิปัตย์นั้นได้วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาในการชุมนุมอย่างน้อย 7 วันเพื่อเผด็จศึกรัฐบาลแต่เมื่อถูกสถานการณ์บีบเข้ามา ก็เตรียมงัด “แผนสอง” ขึ้นมาใช้ก่อนกำหนด แผนที่ว่าคือการขยับยุทธภูมิเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมโดยมีการกำหนดไว้ 2-3 จุด นอกพื้นที่ความมั่นคงอาทิ ท้องสนามหลวง หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น
คาดว่าในวันนี้จะได้ข้อยุติ เพราะถือว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เหมือนโดน “ไฟต์บังคับ” ต้องอัพเลเวลเพิ่มดีกรีการชุมนุมซึ่งเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างตกผลึกคือ ให้สมาชิกพรรคการลาออกจาก ส.ส.เพื่อลงมาต่อสู้ข้างถนนอย่างเต็มตัว ตามที่เคยมีภาคประชาชนบางส่วนเรียกร้องไว้
เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้แม้จะมีเป้าหมายคล้ายกันในการต่อต้านรัฐบาพรรคเพื่อไทยแต่ทางภาคประชาชนก็ยังไม่สนิทใจในการมาเข้าร่วมกับเวทีประชาธิปัตย์ เพราะถือเป็น “เวทีนักการเมือง” ที่ยังสลัดเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงไม่หลุดหากปิดจุดอ่อนตรงนี้ได้ ย่อมเสริมพลังในการต่อกรกับรัฐบาลได้มากขึ้น
ถึงนาทีนี้เมื่อฝ่ายทรราชใกล้ทำคลอด “กฎหมายอัปยศ” แล้วเสร็จ ก็ถือว่าความล่มจมของประเทศชาติบ้านเมืองงวดเข้ามาทุกขณะ
ก็อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพร้อมทั้ง “ทุน-มวลชน” จะตัดสินใจถอดสูทโดดลงยืนข้างประชาชนจริงๆหรือยัง