ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผู้ผลิตพุทราไต้หวันเวียงป่าเป้าเผยสภาพอากาศแปรปรวนทำผลผลิตลดลง 40% แถมเจอพิษค่าแรง 300 บาทอีก ต้องลดขายส่ง หันมาเพิ่มช่องทางขายปลีกเพิ่มมูลค่า เชื่อผลผลิตเป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (19 ธ.ค.) นางปิยะวรรณ เซิ่ง ผู้บริหารบริษัท ถายซิงพืชผล จำกัด ผู้ปลูกและผลิตพุทราไต้หวันรายสำคัญในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันพุทราไต้หวันหรือที่หลายคนรู้จักในชื่อของพุทรานมสดยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยทุกวันนี้ในประเทศไทยมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายพื้นที่ปลูกรวมทั้งสิ้นประมาณ 25,000 ไร่ ลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ที่เคยมีมากกว่า 100,000 ไร่ ซึ่งมีแหล่งปลูกใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทมีพื้นที่ปลูกประมาณ 20 ไร่ ปกติสามารถผลิตพุทราไต้หวันคุณภาพดีได้ประมาณ 400 ตันต่อปี มีช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตปีละครั้งอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ มีมูลค่าการตลาดปีละประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งเดิมผลผลิตทั้งหมดจะถูกขายส่งให้บริษัทที่ตกลงมารับซื้อแล้วนำไปจัดจำหน่ายอีกครั้งทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท จากเดิมที่จ่ายค่าแรงคนงานอยู่ที่วันละ 100 กว่าบาทต่อคน ทำให้ต้องปรับลดจำนวนคนงานที่ใช้ในการล้างและคัดคุณภาพพุทราลงจากเดิม 50-80 คน เหลือเพียง 12 คน พร้อมทั้งมีการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศมาใช้แทนแรงงานคนเพื่อลดต้นทุน โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI) ในการยกเว้นภาษีการนำเข้าเครื่องจักร
นอกจากนี้ ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศยังเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากพุทราจะให้ผลผลิตดีในสภาพอากาศที่หนาวเย็น และในช่วงของการเก็บเกี่ยวจะต้องไม่มีฝนตกเพราะจะทำให้ผลผลิตเสียหาย แต่ปรากฏว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสภาพอากาศในพื้นที่ไม่หนาวอย่างที่ควรจะเป็นและมีฝนตกในช่วงหน้าหนาวด้วย ทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ลดลงจากปกติถึงประมาณร้อยละ 40
โดยการแก้ไขปัญหาอีกทางหนึ่ง บริษัทได้เริ่มหันมาขายปลีกเองมากขึ้น ด้วยการเปิดหน้าร้านขาย พร้อมแปลงสาธิตการปลูกพุทราไต้หวัน และผลไม้อื่นๆ ตั้งอยู่ริมถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย ในอำเภอเวียงป่าเป้า เป็นการเพิ่มช่องทางการขายผลผลิต ซึ่งได้ราคาดีกว่าการขายส่งเกือบเท่าตัวเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทอีกทางหนึ่ง โดยผลจากการตั้งร้านขายปลีกในครั้งนี้ทำให้ผู้บริโภครู้จักและให้การตอบรับเป็นอย่างดีมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวตามเส้นทางนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
