สุรินทร์- “พล.ท.ชาญชัย” แม่ทัพภาคที่ 2 ไทย รุดพบปะสานสัมพันธ์กับ “พล.อ.เจีย มอญ” รองผบ.ทบ. และผบ.ภท.4 กัมพูชา ยืนยันแม้ศาลโลกตัดสินคดีปราสาทพระวิหารออกมาอย่างไร จะไม่มีการสู้รบกัน และร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ย้ำให้ทหารในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายสื่อสารกันถี่มากขึ้น ป้องกันการยั่วยุเข้าใจผิด ส่วนปัญหาต่างๆ หลังศาลโลกตัดสินคดี ให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เป็นผู้ตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้น
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (10 พ.ย.) ที่โรงแรมทองธารินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ของไทย ได้นำคณะนายทหารกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ประกอบด้วย พล.ต.ประวิทย์ หูแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 พล.ต.ธนาธร ธรรมวินธร ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้ร่วมพบปะสานสัมพันธ์และประชุมหารือ กับ พล.อ.เจีย มอญ รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา พล.อ.สรัย ดึ๊ก รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนยุทธภูมิ ที่ 3 พ.อ.แก้ว ที พ.ท.โปเฮง พล.ท.นวล โน รองผู้บัญชาการทหารภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา
โดยในที่ประชุม แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะนายทหารกองทัพภาคที่ 2 และคณะนายทหารกัมพูชาได้หารือกันในเรื่องความสัมพันธ์ของทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่มีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนาน ผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) และพัฒนาความสัมพันธ์ของหน่วยทหารในระดับพื้นที่ ในทุกระดับหน่วยมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนมาอย่างต่อเนื่องโดยสันติวิธี รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ มีความกินดีอยู่ดี เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
ส่วนกรณีที่ศาลโลกจะตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย. นี้ ทหารทั้ง 2 ฝ่ายให้ยึดถือนโยบายรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ และทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันปฏิบัติต่อกรณีดังกล่าวคือ ทั้ง 2 ฝ่าย จะตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมมือกันปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี โดยในช่วงวันที่ 10-12 พ.ย.นี้ ให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายติดต่อสื่อสารกันให้มากขึ้น ต่อเนื่องเป็นรายชั่วโมง หรือตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน และไว้วางใจกันป้องกันการยั่วยุ และเข้าใจผิดต่อกัน
สำหรับการควบคุมดูแลประชาชนไม่ให้ตื่นตระหนก ทุกฝ่ายเข้าใจดีถึงความหวาดกลัวของประชาชน แต่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายควบคุมไม่ให้ขยายออกไปมากจนกระทบถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และพบว่า มีข่าวสารทางกัมพูชาระบุว่า ชาวกัมพูชาอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน จนกระทบถึงความมั่นใจของประชาชนชาวไทยตามแนวชายแดน ต่างตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน จึงขอให้ฝ่ายกัมพูชา ทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกต่อกระแสข่าวดังกล่าวด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำความสงบสุขมาสู่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และความเข้มแข็งในภูมิภาค
หลังการประชุมหารือแล้วเสร็จ พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการพูดคุยถึงความร่วมมือความสัมพันธ์ของทหารในพื้นที่ ให้คงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันต่อไป และหากศาลโลกตัดสินคดีออกมาอย่างไร ทหารก็ยังความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในทางปฏิบัตินั้น ทหารหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ให้มีการสื่อสารเพิ่มขึ้น ถี่มากขึ้นอาจเป็นรายชั่งโมง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
ส่วนประชาชนในฝั่งกัมพูชาที่มีข่าวว่า มีการอพยพออกจากพื้นที่นั้น ทาง พล.อ.เจีย มอญ บอกว่า ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนชาวกัมพูชาแล้ว ซึ่งขณะนี้ก็มีความเป็นอยู่ตามปกติ ส่วนการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของฝ่ายกัมพูชา ทางกัมพูชาแจ้งแล้วว่า นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้ให้หน่วยทหารมาแจกสิ่งของช่วยประชาชนที่ถูกน้ำท่วมใกล้กับแนวชายแดนไทย เป็นเรื่องการมอบสิ่งเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ทหาร และประชาชนที่เดือดร้อน การทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ทหารที่อยู่ในพื้นที่ต้องปฏิบัติการ และทหารในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายก็จะประสานกันให้มากขึ้น มีอะไรก็สอบถามกัน ส่วนประชาชนในพื้นที่ทหารก็จะดำเนินการให้ดีที่สุด และแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ด้าน พล.อ.เจีย มอญ รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา กล่าวว่า หากศาลโลกตัดสินคดีออกมาอย่างไรก็จะปฏิบัติเหมือนแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยกล่าว คือ ศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไร ทหาร และกองทัพก็จะปฏิบัติตามนั้น ให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนชาวบ้านอพยพออกจากชายแดนนั้น รัฐบาลประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจแล้ว ไม่มีความหวดกลัว หากินกันเป็นปกติ และมั่นใจว่าหลังศาลตัดสินปัญหาแล้วจะไม่มีการสู้รบกัน ไม่ห่วงใยอะไรเลย เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาได้ และเชื่อว่ารัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายแก้ไขปัญหากันด้วยสันติวิธี
อย่างไรก็ตาม พล.อ.เจีย มอญ ไม่ตอบคำถามที่ว่า ได้รับบทเรียนอย่างไรบ้างจากการสู้รบกันในครั้งที่ผ่านมา