xs
xsm
sm
md
lg

“ฉวีวรรณ กรุ๊ป” พร้อมยื่นมือช่วยลูกเล้าที่ประสบปัญหาของสหฟาร์ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางฉวีวรรณ  คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมถ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ
ศูนย์ข่าวศรีราชา - ฉวีวรรณ กรุ๊ป พร้อมยื่นมือช่วยเหลือรับลูกเล้าของสหฟาร์ม ที่ได้รับความเดือดร้อน หลังจากที่สหฟาร์มต้องปิดโรงงานทั้ง 2 เป็นการชั่วคราว เผยสามารถรองรับได้นับ 100 ราย ชี้รัฐต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับภาคเกษตร-ปศุสัตว์ ที่ผ่านมาถูกปล่อยไปตามยถากรรม

จากกรณีที่ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของประเทศไทย ประสบปัญหาทางการเงิน โรงงานของสหฟาร์ม ทั้ง 2 แห่ง คือ ที่ จ.เพชรบูรณ์ และลพบุรี ต้องหยุดดำเนินการ มีลูกเล้าของสหฟาร์มจำนวนมากได้รับผลกระทบ ไม่มีแหล่งรับซื้อไก่ที่ลงทุนเลี้ยงไปแล้ว โดยเกษตรกรมีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียน ไม่มีเงินมาจ่ายคืนดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร

รวมทั้งเกษตรกรที่ส่งพืชไร่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้แก่สหฟาร์ม ซึ่งส่งกระทบเป็นลูกโซ่ ต้องประสบปัญหาไปด้วย เนื่องจากทางสหฟาร์มค้างชำระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทำให้ทุกอย่างที่อยู่ในระบบต้องล้มตามไปด้วย

ที่ผ่านมา ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรงเกษตรฯ ได้ออกให้ข่าวว่าจะประสานไปยังสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย เพื่อขอความร่วมมือจากสมาชิกสมาคมให้ช่วยกันรับซื้อไก่ที่เกษตรกรลงทุนเลี้ยงไปแล้ว รวมทั้งรับถ่ายโอนลูกเล้าของทางสหฟาร์ม

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมถ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ เผยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ทาง ทางฉวีวรรณกรุ๊ป ไม่มีปัญหาในเรื่องของการรับลูกเล้าที่ประสบปัญหาจากสหฟาร์ม เพราะเข้าใจถึงปัญหาของเกษตรกรที่จะต้องเสียเงินลงทุนไป บางรายก็ต้องไปกู้เงินทั้งในระบบ และนอกระบบ

สำหรับขีดความสามารถที่ฉวีวรรณฟาร์ม จะสามารถรับ และช่วยเหลือลูกเล้าได้ประมาณ 100 กว่ารายจากทั้งประเทศ ซึ่งขณะนี้ก็มีลูกเล้าของทางสหฟาร์ม เข้ามาติดต่อแล้วรายหลาย ซึ่งทางเราจะช่วยเหลือเต็มที่เท่าที่จะช่วยเหลือได้ แต่คาดว่าภาครัฐน่าที่จะมีการดูแล และเข้ามาช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่บริษัท สหฟาร์ม มีปัญหาขาดสภาพคล่องทำให้ต้องปิดตัวลงชั่วคราว เรารู้สึกเห็นใจ และเข้าใจปัญหา เนื่องจากเราอยู่ในวงการเดียวกัน และช่วยสร้างงานและนำเงินเข้าประเทศเช่นกัน สหฟาร์ม ถือว่าเป็นผู้เลี้ยงและแปรรูปไก่รายใหญ่มียอดผลิตกว่า 2 ล้านตัวต่อเดือนที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ทั้งใน และต่างประเทศ ทำให้ในช่วงที่สหฟาร์มมีปัญหาไก่ในวงจรการตลาดจะหายไปประมาณ 2 ล้านตัวต่อเดือน

จากผลพวงดังกล่าว ส่งผลให้ราคาไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม ณ ปัจจุบัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราคาอยู่ที่ 47 บาทต่อกิโลกรัม จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเฉลี่ยที่ 36-36 บาทต่อกิโลกรัม และจากผลผลิตไก่ไทยที่ลดลง ไม่ล้นตลาดเหมือนในปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถต่อรองราคาสินค้าผู้นำเข้าต่างประเทศได้ดีขึ้น

ขณะที่ด้านการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง ถือเป็นช่วงที่มีการสั่งซื้อสูง หรือเป็นช่วงไฮซีซันลูกค้าต่างประเทศได้เริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น เฉพาะอย่างยิ่งตลาดหลักคือ สหภาพยุโรป (อียู) ที่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้าไก่สดจากประเทศไทยได้อีกครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2555 รวมถึงอีกหนึ่งตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น สามารถนำเข้าได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องเสียโอกาสไป เนื่องจากกรณีดังกล่าวซึ่งคาดว่าจะใช้เวลากว่า 6 เดือน จึงจะทำให้ผลผลิตที่หายไปในวงจรการตลาดกลับมาเหมือนเดิม เนื่องจากการเลี้ยงไก่จะต้องใช้เวลา

จากกรณีปัญหาของ สหฟาร์ม อยากให้เป็นกรณีศึกษาของรัฐบาลให้หันกลับดูปัญหาเรื่องนี้กันอย่างจริงจังอีกครั้ง อยากให้คิดใหม่ทำใหม่ เพราะที่ผ่านมาก็ทราบกันดีว่า วงการเกษตร-ปศุสัตว์ ถือเป็นอาชีพเสี่ยง แบงก์ปล่อยกู้ยาก ส่วนลูกค้าชั้นดีก็ไม่ได้ปล่อยกู้มาก ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ผ่านมาก็ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก เพราะต้นทุนทุกอย่างเพิ่มขึ้น ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าจ้างแรงงาน จะไปขอขึ้นราคากับลูกค้าก็ยาก เพราะเขาไม่รับรู้ แต่ที่เขาคำนึงถึงคือ ราคาปลายทางต้องขายได้ และผู้บริโภคต้องรับได้

ดังนั้น บทเรียนจากสหฟาร์มคือ อย่าไว้ใจแบงก์ และมาตรการต่างๆ ที่รัฐออกมา เช่น การขึ้นค่าแรงมากทำให้เป้าหมายครัวโลกของไทยได้รับผลกระทบ ต้องดูแลด้วยไม่ใช่ปล่อยตามยถากรรม ภาครัฐเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ เพราะผลกระทบไปตกอยู่ที่ผู้ประกอบการ ซึ่งประกอบการธุรกิจ สร้างรายได้หมุนเวียนเข้าประเทศจำนวนมหาศาล แต่กลับไร้การเหลียวแลจากภาครัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น