ASTVผู้จัดการออนไลน์ -ซีพีเอฟ ช่วยชาติประหยัดพลังงานกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างองค์กร Eco-Friendly ชูบุคลากรนำการจัดการพลังงานยั่งยืน
นายสุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2547 ซีพีเอฟ สามารถช่วยชาติร่วมประหยัดพลังงานคิดเป็นเม็ดเงินแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท จากความมุ่งมั่นของบริษัทที่ต้องการสร้างองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญต่อแผนการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน นำไปสู่โครงการประหยัดพลังงานกว่า 200 โครงการ ด้วยจำนวนเงินที่ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านจัดการพลังงานจากภายในองค์กรไปสู่สังคม และชุมชนอีกด้วย โดยผลักดันบุคลากรให้เป็นผู้นำด้านการจัดการพลังงาน
ซีพีเอฟ แบ่งประเด็นการจัดการด้านพลังงานออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 2.การปรับปรุงกระบวนการผลิต และวิธีปฏิบัติงานที่มุ่งลดการใช้พลังงาน เช่น การออกแบบกระบวนการผลิตที่ลดการใช้พลังงาน 3.การจัดการของเสียจากกระบวนการผลิตเพื่อนำกลับมาเป็นพลังงานทดแทน เช่น นำอุปกรณ์ Economizer ที่ดึงเอาความร้อนสูญเปล่านำกลับมาใช้ในระบบหม้อไอน้ำ ไบโอแก๊สจากฟาร์มสุกร ไบโอแก๊สจากระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
“หนึ่งในโครงการการจัดการพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ ทั้ง 16 แห่ง จะใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทดแทนการใช้น้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต โดยในแต่ละปีใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวรวม 100,000 ตัน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ถึง 138,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี หรือคิดเป็นการลดปริมาณการใช้น้ำมันเตาได้มากกว่า 46,000,000 ลิตรต่อปี” นายสุชาติกล่าว
ในปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟ มีโครงสร้างการใช้พลังงาน โดยแบ่ง 48% เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า 30% เป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (fossil fuel) เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ส่วนที่เหลืออีก 22% เป็นการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานทดแทน เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล ประเภท กะลาปาล์ม แกลบ ซังข้าวโพด ถ่านไม้ เศษไม้สับ ขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนให้มีการเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงหมุนเวียนที่หาได้จากชุมชนใกล้เคียงให้มากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดการนำเข้าเชื้อเพลิง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และเพิ่มการจ้างงาน และรายได้ของชุมชนอีกด้วย สังเกตได้ว่า ซีพีเอฟ มีสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 ซีพีเอฟ มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 14% และเพิ่มขึ้นเป็น 22% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในปี 2555
นอกจากนั้น นายสุชาติ ยังเปิดเผยว่า “ซีพีเอฟได้พัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถถึงขั้นเป็นผู้ตรวจประเมินระบบมาตรฐานการจัดการพลังงาน ISO 50001 ตามมาตรฐานการฝึกอบรมของสถาบัน IRCA ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันระดับสากลที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพื่อสร้างผู้นำด้านการจัดการพลังงานยั่งยืนขององค์กร ล่าสุด มีบุคลากรของเรา จำนวน 7 คน ที่ผ่านการรับรองเป็นหัวหน้าผู้ตรวจประเมินในครั้งนี้ ซึ่งจะสามารถเป็นวิทยากรในหลักสูตรมาตรฐานด้านการจัดการพลังงาน และออกใบรับรองสำหรับผู้ผ่านการอบรมได้ ทั้งหลักสูตร Energy Management System Criteria หรือข้อกำหนดระบบการจัดการด้านพลังงาน และหลักสูตร Internal Audit for Energy Management System หรือการตรวจติดตามภายในระบบการจัดการด้านพลังงาน”
ความสำเร็จจากโครงการประหยัดพลังงานต่างๆ ของซีพีเอฟนั้น เกิดจากการมีส่วนร่วมและสร้างจิตสำนึกด้านอนุรักษ์พลังงานแก่พนักงานทุกระดับ ตลอดจนการส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนปรับปรุงการผลิต และการปฎิบัติงานเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและนำระบบบริหารจัดการพลังงานระดับสากลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน
นายสุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2547 ซีพีเอฟ สามารถช่วยชาติร่วมประหยัดพลังงานคิดเป็นเม็ดเงินแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท จากความมุ่งมั่นของบริษัทที่ต้องการสร้างองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญต่อแผนการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน นำไปสู่โครงการประหยัดพลังงานกว่า 200 โครงการ ด้วยจำนวนเงินที่ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านจัดการพลังงานจากภายในองค์กรไปสู่สังคม และชุมชนอีกด้วย โดยผลักดันบุคลากรให้เป็นผู้นำด้านการจัดการพลังงาน
ซีพีเอฟ แบ่งประเด็นการจัดการด้านพลังงานออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 2.การปรับปรุงกระบวนการผลิต และวิธีปฏิบัติงานที่มุ่งลดการใช้พลังงาน เช่น การออกแบบกระบวนการผลิตที่ลดการใช้พลังงาน 3.การจัดการของเสียจากกระบวนการผลิตเพื่อนำกลับมาเป็นพลังงานทดแทน เช่น นำอุปกรณ์ Economizer ที่ดึงเอาความร้อนสูญเปล่านำกลับมาใช้ในระบบหม้อไอน้ำ ไบโอแก๊สจากฟาร์มสุกร ไบโอแก๊สจากระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
“หนึ่งในโครงการการจัดการพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ ทั้ง 16 แห่ง จะใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทดแทนการใช้น้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต โดยในแต่ละปีใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวรวม 100,000 ตัน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ถึง 138,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี หรือคิดเป็นการลดปริมาณการใช้น้ำมันเตาได้มากกว่า 46,000,000 ลิตรต่อปี” นายสุชาติกล่าว
ในปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟ มีโครงสร้างการใช้พลังงาน โดยแบ่ง 48% เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า 30% เป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (fossil fuel) เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ส่วนที่เหลืออีก 22% เป็นการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานทดแทน เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล ประเภท กะลาปาล์ม แกลบ ซังข้าวโพด ถ่านไม้ เศษไม้สับ ขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนให้มีการเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงหมุนเวียนที่หาได้จากชุมชนใกล้เคียงให้มากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดการนำเข้าเชื้อเพลิง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และเพิ่มการจ้างงาน และรายได้ของชุมชนอีกด้วย สังเกตได้ว่า ซีพีเอฟ มีสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 ซีพีเอฟ มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 14% และเพิ่มขึ้นเป็น 22% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในปี 2555
นอกจากนั้น นายสุชาติ ยังเปิดเผยว่า “ซีพีเอฟได้พัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถถึงขั้นเป็นผู้ตรวจประเมินระบบมาตรฐานการจัดการพลังงาน ISO 50001 ตามมาตรฐานการฝึกอบรมของสถาบัน IRCA ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันระดับสากลที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพื่อสร้างผู้นำด้านการจัดการพลังงานยั่งยืนขององค์กร ล่าสุด มีบุคลากรของเรา จำนวน 7 คน ที่ผ่านการรับรองเป็นหัวหน้าผู้ตรวจประเมินในครั้งนี้ ซึ่งจะสามารถเป็นวิทยากรในหลักสูตรมาตรฐานด้านการจัดการพลังงาน และออกใบรับรองสำหรับผู้ผ่านการอบรมได้ ทั้งหลักสูตร Energy Management System Criteria หรือข้อกำหนดระบบการจัดการด้านพลังงาน และหลักสูตร Internal Audit for Energy Management System หรือการตรวจติดตามภายในระบบการจัดการด้านพลังงาน”
ความสำเร็จจากโครงการประหยัดพลังงานต่างๆ ของซีพีเอฟนั้น เกิดจากการมีส่วนร่วมและสร้างจิตสำนึกด้านอนุรักษ์พลังงานแก่พนักงานทุกระดับ ตลอดจนการส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนปรับปรุงการผลิต และการปฎิบัติงานเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและนำระบบบริหารจัดการพลังงานระดับสากลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน