พระนครศรีอยุธยา - เลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชี้มี 3 สาเหตุที่ทำให้สะพานมรณะถล่ม แต่ยังไม่ฟันธงในประเด็นใดประเด็นหนึ่ งต้องรอให้มีการพิสูจน์ชัดก่อน นายอำเภอสั่งห้ามเข้าใกล้จุดสะพานถล่ม ยืนยันเยียวยาผู้บาดเจ็บ-ตายตามระเบียบ
วันนี้ (1 พ.ค.) นายธเนศ วีระศิริ เลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตอบข้อสงสัยผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการขาดของสลิงยึดสะพาน 200 ปีข้ามแม่น้ำป่าสักวัดสะตือ วัดสะตือพุทธไสยาสน์ บ้านท่างาม หมู่ที่ 6 ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่พังถล่มลงมาทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุเกิดเมื่อเย้นวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ละเอียดก่อนจึงจะสามารถชี้ชัดไปได้ว่า มันเกิดจากสาเหตุอะไร แต่เท่าที่ดูด้วยสายตา และคำบอกเล่าของชาวบ้าน กับเจ้าหน้าที่ที่ไปซ่อมแซมสะพาน ประกอบกับตามหลักวิศวรกรรมเชื่อว่าลวดสลิงต้องขาดก่อนที่สะพานจะพัง
“จากการดูจากลวดสลิงที่อยู่ในท่อเคเบิลซึ่งมีสองท่อ บางท่อมี 11 เส้น บางท่อมี 13 เส้น ต้องมีสลิงขาดในท่อใดท่อหนึ่ง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข้าไปซ่อมแซมสะพานที่เมื่อครั้งเกิดการเอียงได้ตรวจอย่างละเอียดหรือไม่ เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าเจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขเมื่อครั้งสะพานเอียงได้ดำเนินการขันให้สลิงตึงเท่านั้น อาจจะไม่ได้สงสัยว่ามีสลิงเส้นหนึ่งขาดอยู่ในท่อ ซึ่งเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง”
นายธเนศ กล่าวต่อว่า ตามความรู้สึกของตนได้มองถึงสาเหตุของสะพานพังน่าจะมาจาก 3 สาเหตุ คือ 1.ให้รถยนต์ขึ้นไปวิ่งบนสะพานหรือไม่ เพราะมีชาวบ้านเป็นผู้มาให้ข้อมูลมีการใช้สะพานผิดประเภทหรือไม่ ทั้งๆ ที่ไม่มีการอนุญาตให้ข้าม แต่ไม่ได้มีการปิดป้ายห้าม เมื่อน้ำหนักมันมากเกินที่สะพานจะรองรับจึงอาจจะทำให้สลิงหย่อน หรือคลายได้ 2.สลิงที่ใช้ดึงทั้ง 2 ด้านขึงตึงไม่เท่ากันทำให้เส้นที่ตึงรับน้ำหนักมากกว่าแล้วเกิดการขาดจนมีความตึงไม่เท่ากันมันจะเกิดการคลายตัวแล้วขาดออกได้ ตนเองให้น้ำหนักทั้ง 2 ข้อนี้มากที่สุด ส่วนข้อที่ 3.เสาตอม่อสะพานอาจจะไม่ขนานกันทำให้สลิงที่แขวนสะพานตำแหน่งไม่ตรงกัน ทำให้สลิงรับน้ำหนักไม่เท่ากัน
“ส่วนที่มีการพบว่าสลิงมีเชือกปนอยู่ในตัวลวดสลิงนั้นไม่ต้องตกใจว่าสลิงจะไม่ได้มาตรฐาน เพราะสลิงมีอยู่ 2 ประเภทคือ ไส้ในเป็นเชือกกับไส้ในเป็นเหล็ก ส่วนสลิงที่ใช้จะได้มาตรฐานหรือไม่เรื่องนี้ต้องตรวจสอบเชิงลึกกันต่อไป”
ด้านบรรยากาศที่บริเวณสะพานพังพบว่า วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำป้ายมาปิด และเชือกมาขึงกัน โดยขมีข้อความ “อันตรายห้ามเข้า” เพื่อเป็นการป้องกันไม่ประชาชนที่มาดูเข้าไปใกล้ในจุดที่เกิดเหตุ แต่ยังพบว่าตรงจุดฝังวัดสะตือฯ ที่สะพานพังถล่ม มีพระสงฆ์มาประกอบพิธีทางศาสนา สวดส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตให้ไปสู่ความสงบอีกด้วย
เมื่อเวลา 13.30 น. นายวิทิต ปิ่นนิกร นายอำเภอท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเสียชิวิตจากเหตุการณ์สะพานแขวนข้ามแม่น้ำป่าสักพังขาด พร้อมทำความเข้าใจกับชาวบ้านในการใช้เส้นทาง จากนั้นเดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมนายเชษฐา ประทุมรังสี นายกเทศมนตรีตำบลท่าหลวง และนายพิมาน พุ่มพันธุ์ม่วง นายก อบต.ท่าหลวง เพื่อตรวจดูความคืบหน้าการรื้อถอนสายสลิง และรื้อถอนเศษซากคอนกรีต โดยพบว่าการรื้อถอนได้หยุดดำเนินการแล้ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ทำการตัดสายเคเบิลออกมาจากจุดล็อกใต้คอสะพานแล้ว ซึ่งพบว่าลวดสลิงในสายเคเบิลข้างหนึ่งมีเส้นสลิงเพียง 11 เส้นเท่านั้น
นายวิฑิต กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการนำลวดสลิงไปตรวจสอบตามขั้นตอนของกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งห้ามเข้าใกล้พื้นที่ เนื่องจากยังเกรงว่าจะมีอันตรายจากเศษซากคอนกรีตที่อาจจะตกจากสะพานได้ ส่วนเรื่องการที่จะใช้เรือในบริเวณดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทางเทศบาลเห็นว่ายังไม่จำเป็น เนื่องจากการใช้เรือข้ามจะมีความลำบากกว่าการอ้อมไปตามถนน ซึ่งเชื่อว่าประชาชนเข้าใจดี ในเรื่องของผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 4 ราย และไม่มีเพิ่มเติม ผู้บาดเจ็บยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สระบุรี 1 ราย รพ.พระนครศรีอยุธยา 2 ราย รพ.รามาฯ 1 ราย และที่ รพ.ท่าเรือ 2 ราย โดยนางวิธรชยันตี ปิ่นนิกร นายกกิ่งกาชาดอำเภอเป็นตัวแทนนำเงินช่วยเหลือทั้งผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บไปมอบให้ทั้งหมดแล้ว และยังคงติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ประชาชนที่เข้าไปดูลวดสลิงที่ตัดออกไปพบว่ามีเชือกอยู่ภายในด้วย ซึ่งทำให้ประชาชนลือกันว่า เป็นการใช้เชือกแทนลวดหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีใครออกมาชี้แจง แต่มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นเพียงเชือกที่ใช้ดึงเส้นสลิงในช่วงที่มีการขึงสะพานเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับน้ำหนักแต่อย่างใด
ด้าน นายเชษฐา ประทุมรังสี นายกเทศมนตรีตำบลท่าหลวง กล่าวถึงการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง ทางเทศบาลได้นำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องส่งให้ทางพนักงานสอบสวนไปแล้ว ส่วนเรื่องของผู้รับเหมาจะต้องรับผิดชอบแค่ไหนอย่างไรคงต้องรอผลการสอบสวนก่อน สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ลวดสลิงมีไม่ครบ 14 เส้น ตามที่บริษัทการันตีนั้นไม่ใช่ เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ทั้งหมดมีอยู่จริง แต่ที่ไม่พบเนื่องจากเป็นผลจากการฉีกขาดอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ยอมรับก่อนหน้านี้มีการแจ้งเรื่องความผิดปกติของสะพาน และได้ทำหนังสือแจ้งออกวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ทราบว่าหนังสือยังไม่ถึงในการที่จะปิดสะพานซึ่งก็มาเกิดเหตุเสียก่อน
ขณะที่ พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 15 ปาก ซึ่งตนได้กำกับให้ทำไปอย่างรอบคอบ ตรงไปตรงมา ที่สำคัญไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ เพราะสังคมจับตาดูอยู่ จึงจำเป็นต้องทำอย่งโปร่งใสเพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ และสูญเสียทุกราย
คลิกเพื่อชมคลิป: