ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน นัดรวมพลใหญ่ต้านศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร ที่ลานย่าโมโคราช 6 เม.ย.นี้ เผย ปชช.ร่วมลงชื่อคัดค้านแล้วกว่า 1.4 ล้านคน คาดทะลุ 2 ล้านรายชื่อ ยันปฏิเสธอำนาจศาลโลกสิ้นเชิง พร้อมจี้รัฐบาลไทยถอนตัวจากจำเลยศาลโลก ชี้ถึงวันนี้สถานการณ์สุกงอมเต็มที่ ปชช.รับรู้ความจริงรอบด้านพร้อมลุกฮือครั้งใหญ่เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย
วันนี้ (4 เม.ย.) ที่ร้านอาหารบ้านแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันไทยคดีศึกษา, ผศ.ดร.สามารถ จับโจร นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และนายสันติ ถีระวงษ์ ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย จ.นครราชสีมา ได้ร่วมกันแถลงข่าวการเคลื่อนไหวคัดค้านอำนาจศาลโลกกรณีคดีปราสาทพระวิหาร
นายไชยวัฒน์กล่าวว่า จุดยืนของภาคประชาชนยังยืนยันในการปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก อย่างสิ้นเชิง เพราะประเทศไทยมิได้เป็นสมาชิกศาลโลกมานานกว่า 50 ปีแล้ว และทางเครือข่ายภาคประชาชนยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ถอนตัวต่อศาลโลกในฐานะจำเลย โดยยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการต่อศาลโลกโดยเร็วที่สุดและให้ศาลโลกจำหน่ายคดีโดยเร็ว
ที่ผ่านมากลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักแผ่นดินได้ยืนหยัดต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 22 มี.ค. ได้ยื่นคำร้องพร้อมทั้งรายชื่อประชาชนไทยที่เห็นด้วยจำนวน 1,452,131 คน ต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เลขาธิการสหประชาชาติ ตุลาการศาลโลกโดยคำร้องมีข้อสรุปว่า ประเทศไทยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกของศาลโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคำพิพากษาที่ กัมพูชายื่นคำร้องให้ตีความคำพิพากษาใหม่ หรือ ประเทศไทยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ที่จะผูกพัน กับอำนาจของศาลโลก หลังจากที่ไทยได้แพ้คดีตามคำพิพากษา ปี 2505 ระบุว่า อธิปไตยเหลือตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
นอกจากนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่า หากศาลโลกต้องการเปิดคดีนั้นต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติและต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจึงจะสามารถยอมรับอำนาจศาลโลกได้ (มาตรา 93 กฎบัตรสหประชาชาติ) ซึ่งประเด็นนี้ไม่ปรากฏว่า มีการปฏิบัติหรืออาจไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย ซึ่งหมายความว่า ศาลโลกบกพร่องในกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาข้อพิพาท เรื่องเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับกัมพูชา
นายไชยวัฒน์กล่าวต่อว่า ทางกลุ่มแนวร่วมคนไทยฯ ยังคงเปิดรับรายชื่อของประชาชนที่เห็นด้วยในแนวทางการต่อสู้ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อรวบรวมให้ได้ถึง 2 ล้านรายชื่อก่อนยืนเพิ่มเติมกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯต่อไป และ ในวันที่ 6 เม.ย.นี้จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกภายใต้ชื่อเวที “เดินทางไกลกอบกู้ราชอาณาจักรไทย” โดยนัดรวมตัวกันตั้งแต่ เวลา 07.00 น.เป็นต้นไป ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ราชดำเนิน เขตเทศบาลนครนครราชสีมา โดยจะมีบรรดาแกนนำและนักวิชาการคนสำคัญเดินทางมาให้ขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อให้ความรู้กับประชาชนจำนวนมาก พร้อมเปิดโต๊ะรับรายชื่อประชาชนในงานนี้ด้วย
“ส่วนการชุมนุมวันที่ 6 เม.ย.จะยืดเยื้อหรือไม่ หรือจะมีการเคลื่อนขบวนไปที่ไหนบ้าง นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการหารือร่วมกันในวันนั้น ฉะนั้นจึงขอเชิญชวนประชาชนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินทุกคนทุกกลุ่มองค์กร เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนชาวโคราชและจังหวัดใกล้เดินทางมาร่วมเป็นจำนวนมาก” นายไชยวัฒน์กล่าว
ด้าน ม.ล.วัลย์วิภากล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ต่างๆเริ่มสุกงอมเต็มที่แล้ว ประชาชนคนไทยได้รับรู้ข้อเท็จจริงกรณีพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารรอบด้านหมดแล้ว ฉะนั้นหากรัฐบาลยังคงยืนยันเข้าไปสู่กระบวนการของศาลโลกในฐานะจำเลย และทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน เชื่อว่าจะเกิดการลุกฮือครั้งใหญ่เพื่อปกป้องแผ่นดินของประชาชนทั้งประเทศอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ สำหรับภาคประชาชนเราได้แสดงจุดยืนการต่อสู้อย่างชัดเจนมาโดยตลอดและแสดงให้สหประชาชาติได้รับรู้ว่าเราต่อสู้แบบสันติ อหิงสา ตามหลักสากลทั้งการเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องพร้อมรายชื่อประชาชนต่อองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และยังได้เดินทางไกลไปถึงศาลโลก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือน มิ.ย.ปีผ่านมา เพื่อเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ว่าประชาชนไทยไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก กรณีคดีปราสาทพระวิหาร
“จากการลงพื้นที่พบปะกับภาคประชาชนในทุกพื้นที่เชื่อว่าวันนี้ประชาชนไทยตื่นตัวมากต่อเรื่องดังกล่าว ทุกคนมีความรักและหวงแหนแผ่นดินไทย โดยเฉพาะพี่น้องตามแนวชายแดน ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยอย่างเต็มที่” ม.ล.วัลย์วิภากล่าว