ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - รมว.ทรัพยากร หารือ 9 ผวจ.ภาคเหนือ ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่า กำชับทุกพื้นที่เพิ่มความเข้มข้น หลังสถานการณ์รุนแรงอีกรอบ พร้อมมอบ 5 นโยบายให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ ชี้ผู้ว่าฯมีอำนาจสั่งการได้ทุกหน่วย ต้องใช้ให้เต็มที่ เชื่อเดินมาถูกทาง หากผ่านช่วง เม.ย.ไปแล้ว สถานการณ์คลี่คลายแน่
วันนี้ (25 มี.ค. ) นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะเดินทางมายัง จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด และรองผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ และติดตามการป้องกันปัญหาไฟป่าและหมอกควัน หลังจากที่สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยการประชุมจัดขึ้น ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผู้ว่าราชการและรองผู้ว่าราชการจังหวัด จาก 9 จังหวัดได้รายงานผลการปฏิบัติงานด้านปัญหาหมอกควันไฟป่าในแต่ละจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดแจ้งว่าในภาพรวม การปฏิบัติงานป้องกันและแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากสถิติการเกิดจุดความร้อน หรือHotspot จำนวนการเกิดไฟป่า และจำนวนวันที่คุณภาพอากาศสูงเกินมาตรฐานลดลง เมื่อเทียบกับสถิติปี 2555
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หมอกควันไฟป่ากลับทวีความรุนแรงขึ้นอีก ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมจนถึงปัจจุบัน ที่เกินค่ามาตรฐานอย่างมาก สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว เป็นผลมาจากสภาพอากาศในพื้นที่ที่มีหย่อมความกดอากาศสูงปกคลุม ทำให้หมอกควันและฝุ่นละอองปกคลุมในพื้นที่แอ่งกระทะ และไม่กระจายตัว รวมทั้งการปรับพื้นที่เพื่อเตรียมทำการเกษตร และควันไฟจากประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ นายปรีชาได้กำชับให้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มข้นทุกด้าน พร้อมทั้งมอบนโยบายในการแก้ปัญหา ประกอบด้วย 1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยให้แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจน ให้เข้มงวดเรื่องการงดเผาขยะและเศษวัสดุในชุมชน ขณะที่หน่วยงานด้านการเกษตร ขอให้งดและควบคุมการเผาเศษวัสดุการเกษตร
2. ประสานสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อทำฝนหลวงเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม เพื่อช่วยลดความรุนแรงของปัญหา 3. แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ประกาศคำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน 4. ให้จังหวัดติดตามสถานการณ์หมอกควัน จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ และจำนวนจุดความร้อนจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการแก้ปัญหาในพื้นที่ และ 5. หากพบเห็นการเกิดไฟป่า ให้แจ้งไปที่สายด่วนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หมายเลข 1362 และสายด่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายเลข 1310 เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าปฏิบัติการได้ทันท่วงที
นายปรีชากล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มารับฟังสถานการณ์ และติดตามความก้าวหน้าของการแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า ซึ่งได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจให้เต็มที่ เนื่องจากรัฐบาลได้มอบหมายให้เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในจังหวัดแล้ว ทั้งอำนาจสั่งการและขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ขณะเดียวกันในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้าช่วยเหลือกรมป่าไม้กรณีเกิดไฟป่า ซึ่งจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ได้เตรียมที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม โดยจะเสนอต่อรัฐบาลในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้ (26 มี.ค.) พร้อมกับจะรายงานต่อกระทรวงการต่างประเทศ ให้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ควบคุมการเผาและการเกิดไฟป่า ส่วนสถานการณ์หมอกควันไฟป่าในพื้นที่นั้น เชื่อว่าจากมาตรการที่ทำอยู่จะช่วยให้สถานการณ์ไม่รุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ หากดูแลให้ผ่านไปจนถึงช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งจะมีฝนตกลงมาจะช่วยให้สภาพอากาศโดยรวมดีขึ้น”
ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า จากสถิติคุณภาพอากาศในภาคเหนือจนถึงขณะนี้ พบว่ามีวันที่คุณภาพอากาศสูงเกินค่ามาตรฐานรวม 22 วัน น้อยกว่าสถิติในช่วงเดียวกันของปี 2555 ทีมีวันคุณภาพอากาศสูงเกินค่ามาตรฐาน 43 วัน อย่างไรก็ตาม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ พบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กและดัชนีคุณภาพอากาศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะวันนี้ (25 มี.ค.) ที่ค่า PM10 เกือบทุกพื้นที่สูงเกิน 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้คาดว่าสถานการณ์จะยังคงรุนแรงต่อเนื่องไปอีก 3-4 วัน เนื่องจากยังคงมีปัจจัยจากสภาพอากาศในพื้นที่ ดังนั้นจึงขอเตือนประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้งดการออกกำลังกายในที่โล่ง และดูแลรักษาสุขภาพ ขณะที่ประชาชนทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่สภาพอากาศมีปัญหา หรือสวมหน้ากากเมื่อต้องออกไปภายนอกบ้านเรือน
