ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สถานปฏิบัติธรรมเมตตาธรรมรักษ์ สายสวนโมกข์ อ.ฝาง ยังมีเรื่องวุ่นต่อจากคดีฆ่าพระสุพจน์ ล่าสุด มือดีนักเลงโตสร้างรั้วเหล็กปิดทางเข้าออกที่ดินแปลงปลูกป่าที่เชื่อว่าเป็นชนวนฆ่าพระ พระกิตติศักดิ์ บ่นท้อใจตำรวจไม่รับแจ้งความ ได้แค่ไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีเปิดประตูให้ผ่านได้
พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ เจ้าอาวาสสถานปฏิบัติธรรมเมตตาธรรม อ.ฝาง ได้โพสต์ข้อความ และรูปถ่ายลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Phra Kittisak Kittisobhano เย็นวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมาแสดงรั้วเหล็กสีแดงแบบเลื่อนตั้งอยู่ด้านหน้าสถานที่ซึ่งมีแบนเนอร์ติดว่า ส่วนป่าเมตตาธรรมยินดีต้อนรับ โดยมีข้อความเขียนว่า
“วานนี้มีผู้พยายามละเมิดสิทธิในที่ดิน “สวนป่าเมตตาธรรม” อีกครั้ง ด้วยการทำประตูเหล็กดัดใหญ่โตมาปิดทางเข้าออก สร้างความสับสนให้แก่ผู้คน และเริ่มการรุกรานอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในหน้าแล้งของแทบทุกปี ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือครั้งที่ พระสุพจน์ สุวโจ ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เมื่อปี 2548 จากนั้นมาก็หนักเบาแตกต่างกันไป ทั้งๆ ที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ใช้เป็นพื้นที่ปลูกป่าต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ร่วมกับคณะสงฆ์ และหน่วยงานราชการเสียด้วยซ้ำ บ้านเมืองนี้เป็นอะไรกันไปหมด หรือว่าความโลภปิดตาบังใจ จนไม่เห็นความจริง”
ต่อจากนั้น ในเย็นวันที่ 23 มีนาคม ได้โพสต์ข้อความแสดงความท้อแท้ ความว่า “จากปัญหาล่าสุดที่อันธพาลมาปิดทางเข้าออกแปลงปลูกป่า หลังจากแจ้งความ แต่ตำรวจแค่รับลงบันทึกประจำวัน (เพราะเกรงใจลูกพี่ของอันธพาล) ทำได้แค่ขอให้อันธพาลเปิดประตูให้พวกเราเข้าออกได้ โดยไม่กล้าสั่งให้รื้อถอนสิ่งกีดขวาง มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์จึงคุยกันในเบื้องต้นว่า ควรจะล้อมรั้วพื้นที่ 700 ไร่ (3 แปลง) จึงสอบถามไปยังผู้รับเหมา ทราบในเบื้องต้นว่า มีค่าใช้จ่ายประมาณ 350,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) แม้ว่าจะไม่มากขนาด 2.2 ล้านล้านบาท แต่พวกเราก็ไม่มีความสามารถจะหาเงินจำนวนนั้นมาได้ โดยที่หนี้เก่าสำหรับการทำความดีงามยังคงค้างอยู่อีกไม่ใช่น้อย แต่หากยังไม่ล้อมรั้ว ปัญหาซ้ำซากเรื่องแนวเขตก็คงยังไม่สิ้นสุด เพราะอันธพาลทั้งในและนอกเครื่องแบบก็ยังอ้างความปัญญาอ่อนในการรุกที่ได้อยู่ดี สรุปสุดท้าย...(อีกครั้ง) ว่าสิ้นปี 2556 พวกเราคงยุติการเสี่ยงชีวิตที่ต้องต่อกรกับผู้มีอิทธิพล นักค้ายา และอันธพาลในท้องถิ่น ตลอดจนนักการเมืองระดับชาติ ที่เป็น “ลูกพี่” ของคนเหล่านี้...
ปี 2548 เราเสีย พระสุพจน์ สุวโจ ไปแล้ว 1 รูป ถึงบัดนี้คุณพ่อ DSI ยังไม่มีอะไรคืบหน้าในทางคดี (เมื่อโทร.แจ้งว่า 1 ในผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าพระสุพจน์กำลังมาปิดทางเข้าออกสวนป่า หัวหน้าพนักงานสอบสวนแจ้งผ่านลูกน้อง ว่าผมกำลังป่วย คงช่วยอะไรไม่ได้) ดังนั้น พวกเราจึงไม่ควรจะต้องเสียชีวิตใครไปอีก เพื่อให้สื่อบางสื่อกล่าวว่า เป็นความตายอย่างชนิดที่ไม่ควรตาย ...สวัสดี “สวนเมตตาธรรม” สวัสดีคณะสงฆ์ สวัสดีนักการเมือง-สื่อมวลชน และผู้สนับสนุนทุกท่าน. #บทอำลา”
จากการสอบถามเบื้องต้นไปยัง พระกิตติศักดิ์ ได้ความว่า ได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.อ.ฝาง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้ง เพียงแค่บันทึกประจำวัน และจะช่วยเจรจากับผู้มาปิดรั้วให้เปิดทางเข้าออกให้ ซึ่งแทบไม่ได้แก้ปัญหาการบุกรุกแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเลย
ผู้สื่อข่าวตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ปัญหาของสถานปฏิบัติธรรมตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็คือ มีผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นพยายามจะอ้างสิทธิในที่ดิน ทั้งๆ ที่พื้นที่ทั้งหมดทางสถานปฏิบัติธรรมในนามของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ได้รับมอบจาก ดร.สิงห์ทน คำซาว เมื่อครั้งที่ ดร.สิงห์ทน ออกบวชโดยมีเอกสารสิทธิ น.ส.3 และโฉนดครบ ปัญหาก็คือก่อนที่พระสุพจน์ สุวโจ ถูกฆ่าในปี พ.ศ.2548 ได้มีผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นแสดงตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งจนถึงมีการพิพาทกัน เคยมีการส่งคนมาทำร้ายผู้ดูแลสวนของมูลนิธิ มีการแจ้งความดำเนินคดีใน พ.ศ.2545 จนที่สุดเกิดคดีฆ่าพระสุพจน์ สุวโจ และจนบัดนี้ยังไม่สามารถติดตามผู้กระทำผิดได้โดย มีเบาะแสเพียงว่าพัวพันกับนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในท้องที่
อนึ่ง สถานปฏิบัติแห่งนี้ตั้งขึ้นในปี 2543 ภายใต้มูลนิธิ “เมตตาธรรมรักษ์” โดยมี นายพิภพ ธงชัย ร่วมเป็นกรรมการชุดก่อตั้ง เพื่อให้สถานปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้การดูแลของทางมูลนิธิที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง โดยนิมนต์พระสายสวนโมกข์ ประกอบด้วย พระสุพจน์ สุวโจ ที่เสียชีวิตไป พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ และพระมหาเชิดชัย กวิสโส จากสวนโมกขพลาราม สุราษฏร์ธานี มาจำพรรษา แล้วก็มาเผชิญกับการบุกรุก และใช้อิทธิพลเพื่อครอบครองที่ดินแปลงใหญ่ที่ได้รับมอบมาโดยต่อเนื่องจนกระทั่งล่าสุด