ASTVผู้จัดการ - ยังไม่ออกหมายจับนักธุรกิจใหญ่เมืองอุดรฯ คดีจ้างวานฆ่าหมอพระ แฉสิ้น “ดาบตำรวจ” พามือปืนยิงพระอาจารย์บัณฑิต คือ คนขับรถนายพลเสื้อแดง ประวัติสุดแสบร่วมรู้เห็นเป็นใจปล่อยแดงอุดรฯไล่ขยี้พันธมิตรฯ ที่หนองประจักษ์ ยันชนวนฆ่ามาจาก “ชู้สาว” บิ๊กเอกชนได้จักษุแพย์หญิงแม่หม้ายลูกติดมาเป็นบ้านเล็กแล้วเกิดปัญหา แค้นจัดเมียเห็นพระดีกว่าผัวจึงสั่งเก็บ
การมรณภาพของพระอาจารย์บัณฑิต สุปันฑิโต หรือ นายแพทย์ บัณฑิต สงวนแก้ว อายุ 48 ปี พระลูกวัดป่าบ้านตอสีเสียด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นอกจากจะสร้างความเศร้าสะเทือนใจแก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นคดีสะเทือนขวัญแก่ประชาชนโดยทั่วไป เพราะมือปืนกระทำการอย่างอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ระหว่างพระอาจารย์บัณฑิต สุปันโต กลับจากการบิณฑบาตให้แก่ญาติโยมกำลังจะเข้าวัด มีคนร้ายดักรออยู่ และใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดจ่อยิงเข้าด้านหลัง 2 นัดเสียชีวิตในทันที
ข่าวการมรณภาพแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความหวังว่าคงไม่พ้นความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้เพราะเป็นคดีที่มีพยานปากสำคัญเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปพรรณสัณฐานของมือปืนที่ร่วมปฏิบัติการกัน 2 คน โดยคนขับและชี้เป้าเป็นคนเดียวกันนั่งรอในรถ ส่วนมือปืนมิได้ปิดบังใบหน้า อีกทั้งรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะคือกระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ย่อมเป็นเบาะแสในการคลี่คลายเช่นเดียวกับหลายๆ คดีที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นคดีปกติที่ไม่มีความสลับซับซ้อน หากไปเกิดกับบุคคลสำคัญและเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียง มีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาจำนวนมากจึงได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง
แต่ที่กลายเป็นประเด็นตามหลังมา ก็คือ การเดินหน้าคลี่คลายเกิดสะดุดกึก! พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่เข้ามาบัญชาการด้วยตัวเองกลับชักเข้าชักออกคลายๆ กับคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เหตุเกิดเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ในช่วงที่รับผิดชอบ บช.ภ.8
อาการยึกๆ ยักๆ ทั้งที่แนวทางทั้งหมดไปหยุดตรง “บิ๊ก” เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนรายหนึ่ง แต่ตำรวจน้อยใหญ่ของ จ.อุดรธานี รวมทั้ง พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่แรกก็ยังคงออกแนวเตะวนบางช่วงบางตอนถึงกับอ้างผลบุญ คุณพระคุณเจ้าให้ช่วยดลบันดาลทั้งที่เหตุการณ์ผ่านไปนานเกือบ 3 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม จากกระแสสังคมที่กดดันอย่างหนัก พล.ต.ต.ชัยญัติ สายถิ่น ผบก.อุดรธานี ตัดสินใจออกหมายเรียก นายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ หรือ เสี่ยบั๊ก ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลเอกอุดร เพื่อให้ปากคำในคดีมือปืนลอบสังหารพระอาจารย์บัณฑิต สุปันฑิโต เนื่องจากมีความพาดพิงในเชิงชู้สาว และ มีการเคลื่อนไหวบางอย่างของกลุ่มนายบรรเจิด ก่อนเกิดเรื่องขึ้น
วันที่ 20 มี.ค. นายบรรเจิด พร้อมกับ ทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อนเปิดแถลงข่าวสื่อมวลชนโดยกล่าวว่าการมาพบกับตำรวจในวันนี้ มาในฐานะพยาน มาให้ปากคำในประเด็นต่างๆ ที่ถูกพาดพิง ส่วนการเชิญตัวนายวิเวทย์ วิไชโย อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาอาน จ.เลย มาให้ปากคำก่อนหน้า และแจ้งข้อมูลกับตำรวจว่า “เสี่ยบั๊ก” ใช้ให้ไปสอบประวัติพระอาจารย์บัณฑิต
นายบรรเจิด กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า โรงพยาบาลเอกอุดร เป็นโรงพยาบาลมาตรฐานสากล ในแต่ละปีบริจาคให้กับโครงการต่างๆ เป็นจำนวนมากที่ต้องตรวจสอบประวัติของพระอาจารย์บัณฑิต ก็เป็นเพียงขบวนการทำงานเท่านั้น “โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มีพระเป็นผู้ดูแลโครงการนี้ ดังนั้น เราต้องการรู้ว่าประวัติของพระเป็นอย่างไร เป็นพระแท้หรือพระเทียม แม้แต่การบริจาคเงินบุคคลหรือองค์กรอื่นๆ ก็ต้องการตรวจสอบประวัติเช่นกัน”
ถัดมาอีกสามวัน มีหนังสือคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 162/2558 ลงนามโดย พล.ต.อ สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. วันที่ 23 มี.ค. 2558 ให้ พล.ต.ต.ชัยญัติ สายถิ่น ผบก.จ.อุดรธานี และ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผบก. กองบังคับการฝึกพิเศษกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ ศปก.ตร. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และให้ไปรายงานตัวภายใน 24 ชั่วโมง
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงเหตุผลการย้ายนายพลทั้ง 2 นาย และความคืบหน้าคดีในวันต่อมา (24 มี.ค.) โดยยอมรับว่า คดีฆ่าพระอาจารย์บัณฑิต น่าจะมีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เพื่อความสบายใจเพื่อให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างอิสระ และเพื่อให้เห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความจริงใจแก้ปัญหาถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รรท.ผบช.ก.และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. ทำเรื่องเสนอโอนสำนวนการสอบสวนคดีทั้งหมดมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม แทนท้องที่ การย้ายผู้การฯอุดรธานี เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนดำเนินการอย่างไม่มีข้อสงสัยของพี่น้องประชาชน
แต่สำหรับ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผบก.กฝ.ตชด. นั้น เห็นว่าเป็นอดีต ผบก.จ.อุดรธานี มาก่อน เป็นผู้กว้างขวาง และมีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถช่วยงานที่ ศปก.ตร. เช่นเดียวกัน ภารกิจที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับคดีนี้ก็จะมอบหมายให้ท่านไปปฏิบัติระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันนั้น ตำรวจกองปราบปรามได้ล็อกตัว นายปัญจ๋า ชารีแสน อายุ 49 ปีลูกจ้างประจำสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) จ.กาฬสินธุ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วและยังเค้นข้อมูลสำคัญถึงขบวนการจ้างว่าฆ่าพระหมอจนทราบว่าคนรับงานมาอีกต่อ คือ ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาล ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองอุดรธานี ช่วยราชการชุดปราบปรามยาเสพติด โดยซัดทอดว่า ด.ต.ชาญชัย จ้างวาน 50,000 บาท ให้ตนไปยิงพระหมอและวันเกิดเหตุ ด.ต.ชาญชัย ทำหน้าที่ขับรถและชี้เป้า
ตำรวจกองปราบปราม จับมือปืนได้แล้วขณะที่มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า ด.ต.ชาญชัย ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญเผ่นหนีเข้าชายแดนประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว แต่อีกทางหนึ่งระบุว่าเขาถูกตำรวจกองปราบฯรวบตัวพร้อมกับนายปัญจ๋า แต่คุมตัวแยกไปสอบสวนโดยเชื่อว่ากลุ่มผู้บงการนอกจากจะเป็น “บิ๊ก” เอกชนแล้วยังอาจจะมี “บิ๊กสีกากี” ร่วมขบวนการด้วย
สำหรับ ด.ต.ชาญชัย นั้น ขึ้นชื่อว่า เป็นตำรวจเสื้อแดงอุดรฯคนหนึ่ง เป็นลูกน้องคนสนิทและเป็นโชเฟอร์ประจำกายอดีตนายพลคนเสื้อแดงแห่ง จ.อุดรธานี ซึ่งเคยสร้างวีรกรรมมีส่วนร่วมรู้เห็นกับเหตุการณ์เสื้อแดงไล่ทุบตีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2551 ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯอุดรธานี กำลังเตรียมเปิดเวทีปราศรัยภายในหนองประจักษ์ศิลปาคม เทศบาลอุดรธานี
เหตุการณ์อันเป็นรอยด่างครั้งนั้นหลังมีการรวมตัวของเสื้อแดงที่สนามทุ่งศรีเมือง หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรฯนับพันคนนำโดย นายอุทัย แสนแก้ว น้องชาย นายธีระพล แสนแก้ว อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมด้วยนายขวัญชัย ไพรพนา หรือ สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดร ได้เดินเท้าฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความเรียบร้อยให้กับพันธมิตรฯแต่รู้กันว่าตำรวจไม่จริงจังกับการป้องกันเหตุ ยอมให้ฝ่ายเสื้อแดงบุกเข้าทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯจนบาดเจ็บจนถึงขั้นสาหัสรวม 13 ราย ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีชื่อ “บิ๊กสีกากี” ลูกพี่ ด.ต.ชาญชัย ร่วมอยู่ในกลุ่มรู้เห็นเป็นใจกับคนเสื้อแดงด้วย
จากปฏิบัติการไทยไล่ฆ่าไทยที่หนองประจักษ์ศิลปาคม เมื่อหลายปีที่ผ่าน ร่องรอยของหัวขบวนคนเสื้อแดงก็ยังปรากฏให้เห็น และเมื่อนำมาต่อจิ๊กซอว์กับคดีฆ่าพระหมอ บรรดาตัวละครต่างๆ มาบรรจบกันอย่างพร้อมเพรียงชนิดที่คาดไม่ถึงเช่น กรณีกลุ่มมือปืนใช้อาวุธสงครามถล่มนายขวัญชัย ไพรพนา เมื่อใก้ลเที่ยงของวันที่ 22 ม.ค. 2557 แม้เขาจะรอดตายอย่างหวุดหวิดแต่คมกระสุนสามารถทำให้ประธานชมรมคนรักอุดรฯต้องทบทวนบทบาทการเคลื่อนไหวทางการมืองอย่างหนัก เพราะสภาพการเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากยุค “ขาขึ้น” กลายเป็น “ขาลง” แม้แต่คนสนิทคุ้นเคย เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์แดงอย่าง พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ซึ่งเป็น ผบก.จ.อุดรธานี ในขณะนั้นยังดูแลอะไรไม่ได้ นอกจากหลังเกิดเหตุแล้วทำได้เพียงส่งกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมาอารักขาระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกอุดร เพื่อป้องกันเหตุร้ายซ้ำสอง
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เห็นว่าทั้งนายขวัญชัย ไพรพนา พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง และ นายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ หรือ เสี่ยบั๊ก เจ้าของโรงพยาบาลเอกอุดร ก็ล้วนแต่มักคุ้นกันมาก่อนทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้รูปการจะค่อนข้างชัดเจนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถล็อกตัวมือปืน และผู้ปฏิบัติการลงมือฆ่าพระอาจารย์บัณฑิต ไว้แล้วคือ นายปัญจ๋า ชารีแสน มือปืนคนลั่นกระสุนโดยยอมรับว่าใช้อาวุธปืนแบบเดียวกับลูกซองสั้นแต่ดัดแปลงลำกล้องเป็นขนาดกระสุนเอ็ม 16 ซึ่ง ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาล เป็นคนจัดหาให้แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ติดตามปืนของกลางเพื่อประกอบสำนวนคดีได้หรือยัง ส่วนกลุ่มผู้ใช้จ้างวานระดับบนขึ้นไปแม้โฟกัสยังเล็งไปที่ “บิ๊ก” เอกชนรายหนึ่งของจังหวัดอุดรฯ ยังมี “บิ๊กสีกากี” เพิ่มขึ้นมาด้วย หากคำซัดทอดและประจักษ์พยานสอดรับกันอาจจะเป็นคดีสร้างความฮือฮาให้กับสังคมไทยอีกคดีหนึ่งก็เป็นได้เนื่องจากมีบุคคลระดับนายพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมตกเป็นผู้ต้องหาในคดีสำคัญด้วย
ส่วนความคืบหน้าคดีล่าสุดเมื่อตอนบ่ายวันนี้ (25 มี.ค.) ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ ได้รับการเปิดเผยจากนายตำรวจที่คุมคดีว่าวันนี้ยังไม่ออกหมายจับใครเพิ่มเติมแต่จาการสอบสวนพยาน และคำให้การของผู้ต้องหาถือว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก แต่เนื่องจากมีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งร่วมลงมือสังหาร และอื่นๆ จนเกิดปัญหาบางช่วงบางตอน หากเราไม่ไหวตัวส่ง พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาคุมคดีแต่แรกก็คงจะทำงานยากกว่านี้ ขอยืนยันว่า ผู้ต้องหาทุกคนคือตัวจริง รายชื่อต่างๆ ก็ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วแต่ตำรวจกำลังหาจุดเชื่อมโยงคงต้องใช้เวลาบ้าง สำหรับสาเหตุตอนนี้ฟันธงว่าเป็นเรื่องชู้สาวเพียงอย่างเดียวโดยฝ่ายหญิงเป็นจักษุแพทย์เรียกกันคุ้นเคยว่า “หมอแก้ว” เป็นหม้ายลูกติด ต่อมามีนักธุรกิจใหญ่มาติดพันและอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน
“มีเพียงประเด็นหมอแก้วนั้น ที่เรามั่นใจโดยก่อนหน้านักธุรกิจใหญ่ เกิดความไม่พอใจที่หมอแก้วฝักใฝ่กับกิจกรรมของพระหมอมากเกินไป จนมีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ ที่ตำรวจทราบมาไม่ทราบว่าหมอกับพระมีสัมพันธ์อะไรเกินเลยหรือไม่ เป็นเรื่องที่คนรอบๆ ตัวตีความกันไป แต่ที่แน่ๆ นักธุรกิจใหญ่สามีหมอแก้ว เขาตีความในทางไม่ดี ต่อไปก็ต้องเชิญหมอแก้ว มาสอบตอนนี้ทราบแต่เพียงว่านักธุรกิจใหญ่เป็นคนเจ้าชู้ มีหลายบ้านแต่เมื่อหลวมตัวมาเป็นภรรยาอีกคนก็เลยมีแต่ปัญหา พอกลุ้มใจก็เลยหาทางออกแล้วไปสมัครเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ ประเด็นมันเริ่มจากตรงนั้น ตำรวจก็มีหน้าที่สางกันต่อไป”