xs
xsm
sm
md
lg

สาว ปวช.เลยร้องสื่อถูกตำรวจยัดเยียดข้อหาขับรถประมาทฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

น.ส.กนกอร ไชยศรี นักศึกษาชั้น ปวช.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนจังหวัดเลย กรณีถูกตำรวจตั้งข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
เลย-นักเรียนหญิง ปวช.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย ร้องสื่อมวลชนเลย ถูกยัดเยียดข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จากเหตุคดีเพื่อนขับจักรยานยนต์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ตัวเองรอด กลับถูกแม่เพื่อนบังคับให้รับสารภาพ หวังฮุบเงินประกัน พ.ร.บ. 200,000 บาท ซ้ำถูกฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายอีก 6 แสน ลั่นสู้คดีถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุกรณี นายน่วน ไชยศรี และนางแพงสี ไชยศรี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ 3 ต.ห้วยพิชัย อ.ปากชม จ.เลย นำ น.ส.กนกอร ไชยศรี อายุ 18 ปี บุตรสาว ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ปวช.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย พร้อมด้วยนายสาโรช โกษารักษ์ อาจารย์วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนจังหวัดเลย ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐ กรณีที่ลูกสาว และลูกศิษย์ถูกยัดเยียดข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทั้งๆ ที่ขับรถไม่เป็น

น.ส.กนกอร ไชยศรี กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2555 เวลาประมาณ 19.30 น. น.ส.พิมพ์นิภา แสงแก้ว เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันได้ขับรถจักรยานยนต์มาชวนขณะที่ตนอยู่หอพักให้นั่งซ้อนท้ายไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย โดยขับไปตามถนนเลย-เชียงคาน พอถึงบริเวณบ้านหนองผักก้าม น.ส.พิมพ์นิภา ขับแซงรถพ่วงออกไปทางเลนขวาของถนน

ขณะนั้นรู้สึกเหมือนว่ารถตนได้เกี่ยวกับรถจักรยานยนต์อีกคันแล้วล้มลง หลังจากนั้นตนคิดว่าคงตายแน่แล้ว มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีคนมาช่วย และรู้สึกปวดแขนมาก ส่วน น.ส.พิมพ์นิภา ทราบภายหลังว่าได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ถูกรถพ่วงทับ ส่วนตนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเลย ได้รับบาดเจ็บแขนซ้ายหัก

ขณะที่พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล แม่ของ น.ส.พิมพ์นภาได้เข้ามาพูดคุย และเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับว่าเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ เพราะหากตนยอมรับจะได้ค่าประกันตาม พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถ จำนวน 200,000 บาท แต่ความจริงตนเป็นคนซ้อน จะได้เงินเพียง 30,000 บาท โดยพร้อมจะดูแลค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ไปขึ้นศาล ตนได้ปรึกษากับพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ จึงไม่ยอมรับเป็นคนขับ เพราะต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาทันที ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนขับ

หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2555 ตนได้รับแจ้งจากตำรวจให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองเลย โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาความผิด ฐานขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย พร้อมกับเขียนบันทึกการมอบตัวว่า ตนเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กษว 810 เลย คันที่เกิดเหตุ เสียหลักลื่นไถลไปตามพื้นถนนขณะขับแซงรถพ่วง เป็นเหตุให้ น.ส.พิมพ์นิภาเสียชีวิต โดยมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ 2 คน ยืนยันว่าตนเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์

ข้อเท็จจริงวันเกิดเหตุมีเพื่อนๆ หลายคนเห็นว่า น.ส.พิมพ์นิภา เป็นคนขับจักรยานยนต์มารับตนนั่งซ้อนท้ายออกไป และเป็นธุระของ น.ส.พิมพ์นิภา เอง ตนถูกขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนเท่านั้น ขณะเดียวกัน รถจักรยานยนต์คันที่เกิดเหตุก็เป็นชื่อของแม่ น.ส.พิมพ์นิภา ผู้ตายด้วย จากข้อกล่าวหานี้ตนจึงปฏิเสธทุกประการ

หลังจากนั้น วันที่ 19 ตุลาคม 2555 คดีได้เข้าสู่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย คดีหมายเลขดำที่ ผ.338/2555 ทำให้ น.ส.กนกอร ตกเป็นผู้ต้องหาคดีขับขี่รถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และนอกจากนี้ ยังถูกแม่ของ น.ส.พิมพ์นิภา ผู้ตายฟ้องร้องทางแพ่ง เรียกค่าเสียหาย จำนวน 600,000 บาทด้วย ซึ่งศาลได้นัดไปให้ปากคำแล้ว 5 ครั้ง

“ตลอดเวลาที่รู้ว่ากลายเป็นผู้ต้องหา รู้สึกเครียดมาก เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้ จนบางครั้งไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ แม่บอกให้หยุดเรียนก่อน ห่วงว่าฝ่ายที่กล่าวหาจะมาทำร้าย บังคับให้รับเป็นคนขับ รู้สึกแปลกใจ และเสียใจเป็นอย่างมากที่ถูกตั้งข้อหาเช่นนี้ เพราะตั้งแต่เกิดมาขับรถมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ไม่รู้จะพึ่งใคร เพราะตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรม จึงต้องขอความช่วยเหลือผู้สื่อข่าว และจะขอสู้คดีนี้จนถึงที่สุด” น.ส.กนกอรกล่าวทั้งน้ำตา

ด้านนายสาโรช โกษารักษ์ อาจารย์ที่เดินทางมาด้วยกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นครู เมื่อลูกศิษย์เสียชีวิตก็รู้สึกเสียใจ ทั้งสองคนเป็นคนดี ทั้งกนกอร และพิมพ์นิภา เป็นพี่น้องรักกันมาก ครูไปงานศพทั้งน้ำตา เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นมาทราบว่า กนกอร ถูกต้องข้อหาอาญาร้ายแรง รับไม่ได้ที่ลูกศิษย์ต้องมาถูกกล่าวหาเช่นนี้ และผิดหวังในกระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นจากตำรวจ ตนเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ต้องคดีลักษณะเดียวกัน เพราะความไม่ยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อลูกศิษย์เท่านั้น หวังว่าคดีจะเป็นกรณีสุดท้ายของสังคมไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว เพื่อนรุ่นพี่สองคนของ น.ส.กนกอรได้เดินทางมายืนยันด้วยว่า น.ส.กนกอร ขับรถจักรยานยนต์ไม่เป็น และพร้อมจะให้การช่วยเหลือในชั้นศาลด้วย เพราะรู้สึกสงสารน้องที่ต้องมาถูกกล่าวหาเช่นนี้ และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในบันทึกเหตุการณ์ของพนักงานสอบสวนคดีนี้ไม่ได้กล่าวถึงรถบรรทุกพ่วงแต่อย่างใด


กำลังโหลดความคิดเห็น