สุรินทร์ - รักษาการ ผอ.โรงพยาบาลท่าตูม จ.สุรินทร์ ทนแรงกดดันไม่ไหว ประกาศลาออกจากราชการ หลังขัดแย้งหนักถูกม็อบบุคลากรทางการแพทย์ รพ.ท่าตูมบุกร้องจังหวัดฯ ขับไล่พ้นพื้นที่ภายใน 24 ชม. กล่าวหาเผด็จการ บ้าอำนาจ
วันนี้ (11 ก.พ.) เวลา 14.00 น. ที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ได้มีกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลท่าตูม อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ทั้งแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ประมาณ 60 คน นำโดย ทพ.นพรัศม์ เหลือล้นนิธิศ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลท่าตูม, นางพิมพ์ประพรรณ พิพัฒนพงศานนท์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล, นางพรรณี จันทร์เพ็ญ หัวหน้าตึกผู้ป่วยใน และนางอรัญญา เพิ่มผล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.ท่าตูม เดินทางด้วยรถบัสปรับอากาศ พร้อมชูป้ายผ้าข้อความ เช่น ผู้อำนวยการบ้าอำนาจ เผด็จการ, เจ้าคิดเจ้าแค้นผูกใจเจ็บ ฯลฯ เข้าพบ นายวิเชียร จันทรโณทัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และ นพ.สอาด วีระเจริญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องขอให้ย้าย นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม ออกจากพื้นที่ภายใน 7 วัน
ทพ.นพรัศม์ เหลือล้นนิธิศ ทันตแพทย์ชำนาญการโรงพยาบาลท่าตูม กล่าวว่า นับตั้งแต่ นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง มาทำหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูมกว่า 6 ปี ทำให้พวกเราบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลท่าตูมไม่มีความสุข ไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ไร้ที่พึ่ง และเกิดความเครียดจากการถูกกดดันจนต้องพร้อมใจกันผูกริบบิ้นสีดำเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้บริหารโรงพยาบาลท่าตูม และได้รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ในวันนี้ โดยให้ย้าย นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม ภายใน 24 ชั่วโมง (ชม.)
นางอรัญญา เพิ่มผล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการโรงพยาบาลท่าตูม กล่าวว่า การเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ผ่านมา เมื่อกลับไปทำงานแล้วพวกเรากลับถูกคุกคามจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม โดยการเรียกเข้าไปสอบถามเป็นรายบุคคลว่าใครลงชื่อในการร้องเรียนบ้าง พร้อมบังคับให้ลงชื่อสนับสนุนตัวเองในตลอด 2 วันที่ผ่านมาจนทุกคนเกิดความหวาดผวา
ด้าน นพ.สอาด วีระเจริญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้จังหวัดสุรินทร์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 12 วัน เพื่อพิจารณาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว และไม่มีการย้ายผู้ใดออกนอกพื้นที่จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ และจะให้การคุ้มครองทุกคนเป็นอย่างดี ซึ่งอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายเปิดใจให้กว้างเพราะทุกปัญหามีทางออกอยู่เสมอ และการทำงานร่วมกันภายในองค์กรย่อมมีทั้งคนรักและคนเกลียด ขอเพียงหันหน้ามาคุยกันปัญหาต่างๆ ก็น่าจะยุติลงด้วยดี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่ นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม หลังมีกลุ่มแพทย์ พยาบาล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าตูมเดินทางไปร้องเรียนที่จังหวัดฯ ก็ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลภายในโรงพยาบาลที่ไม่ได้เดินทางไปด้วย โดยชี้แจงว่าตนเป็นคนเข้มงวดในการทำงานกับบุคลากรในโรงพยาบาลท่าตูมทุกระดับ เป็นคนปากร้ายเพราะมุ่งผลสัมฤทธิ์ที่งานจึงทำให้มีคนเกลียดชัง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะแก้ไขกันได้ภายในองค์กร และได้โทรศัพท์แจ้งให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วแล้วเพื่อลดความบอบช้ำขององค์กร โดยในส่วนของตนยืนยันขอลาออกจากราชการ โดยจะยื่นหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาในวันพรุ่งนี้ (12 ก.พ.)
การประกาศลาออกจากราชการของรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม ดังกล่าวทำให้คณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าตูมเกิดความระส่ำระสาย ไม่เป็นอันทำงาน และมีแพทย์พยาบาลหลายคนประกาศพร้อมที่จะขอย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล
พร้อมกับมีกระแสข่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (12 ก.พ.) ระหว่างที่คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเดินทางมาตรวจราชการที่โรงพยาบาลท่าตูม จะมีกลุ่มแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลท่าตูมและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพากันแต่งกายชุดดำเข้ายื่นหนังสือคัดค้านการลาออกจากราชการของรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูมในครั้งนี้ด้วย
สำหรับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูมกับทีมแพทย์ และพยาบาลบางส่วนของโรงพยาบาลท่าตูมเริ่มมีมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโดยการดึงปัญหาหลายอย่างเข้ามารวมกัน รวมทั้งปัญหาการลักลอบนำขยะติดเชื้อทางการแพทย์มาทิ้งในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติพนมดิน ต.ท่าตูม อ.ท่าตูม เมื่อเดือน ธ.ค. 2555 ที่ผ่านมา และมีการสอบสวนที่มาของขยะและแนวทางในการกำจัดขยะ ซึ่งเกิดความขัดแย้งขึ้นในระดับผู้บริหารในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จ.สุรินทร์ จนเกิดเป็นปัญหาลุกลามขยายวงไปสู่ปัญหาอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ จ.สุรินทร์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
