สธ.มอบนโยบายให้ สธจ.ทั่วประเทศ เร่งจัดการระบบการทำงานของ รพ.ทุกระดับ ในฐานะเป็นผู้จัดบริการสุขภาพแก่ประชาชนเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายตั้งแต่งานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ของ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล 9,750 แห่ง จนถึงศูนย์เชี่ยวชาญรักษาผู้เจ็บป่วย 10 สาขา เน้นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและใกล้บ้าน เพื่อตอบนโยบายคนไทยสุขภาพดี อายุยืน 80 ปี ในอีก 10 ปี
วันนี้ (25 ม.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวภายหลังการร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการพัฒนาสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงแผนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ ว่า การประชุมในครั้งเป็นการประชุมเพื่อชี้แจงแผนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มุ่งลดปัญหาการป่วย ลดการเสียชีวิตประชาชนบริการทุกโรคมีมาตรฐาน เพื่อให้บรรลุนโยบายรัฐบาล คือ ประชาชนมีสุขภาพดี อายุยืนเฉลี่ย 80 ปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยการที่จะบรรลุเป้าหมายตามนโยบายดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นไป สธ.ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระบบบริการแก่ประชาชนครั้งใหญ่ เพื่อให้ครบถ้วนตั้งแต่การป้องกันโรค การสร้างสุขภาพดี เมื่อป่วยแล้วมีโรงพยาบาล (รพ.) ศูนย์เชี่ยวชาญ สามารถให้การรักษาได้ทุกโรค ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย อยู่ใกล้บ้าน ซึ่งงานทุกนโยบายมีตัวชี้วัดผลชัดเจน
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการบริหารให้เป็นไปตามเป้าหมายในระดับเขตให้ผู้ตรวจราชการ ทั้ง 12 เขต เป็นประธาน ระดับจังหวัดให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นประธาน และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สธจ.) ทุกแห่ง ทบทวนและพัฒนาบทบาทของรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลที่มี 9,750 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นบริการปลายทางสุดที่จะส่งมอบให้ประชาชน และเป็นบริการด่านหน้าของ สธ.ที่จะลดปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนทุกคนทั้งโรคทางกาย และโรคทางจิต โดยจะเร่งจัดพยาบาลวิชาชีพประจำการทุกแห่ง และปรับบทบาทการทำงาน ของเจ้าหน้าที่ ให้ออกบริการชุมชน ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้มากขึ้น เพื่อเน้นหนักด้านการส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ใช้เวลาส่วน ใหญ่ใช้เวลาหนักไปในด้านการรักษาพยาบาล โดยจะให้ รพ.ทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง เป็นพี่เลี้ยง รพ.ส่งเสริมสุขภาพทั้งหมด การพัฒนาระบบครั้งให้ครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลทั่วถึง เมื่อป่วยแล้วมี รพ.รักษาใกล้บ้านทุกโรค
“หัวใจของการพัฒนาบริการสาธารณสุขขณะนี้ ต้องการใช้ทรัพยากรภาคบริการที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งบุคลากร การเงินการคลัง เครื่องมือแพทย์ ห้องผ่าตัด เตียงรองรับผู้ป่วย ในพื้นที่ร่วมกัน โรงพยาบาล หรือหมอต้องเป็นที่พึ่งประชาชนทั้งจังหวัด โดยจัดในรูปของเขตบริการ 12 เขต ดูแลเขต 5-8 จังหวัด ทุกเขตบริการมีรูปแบบเหมือนกันทั้งหมดตั้งแต่ระบบริการขั้นพื้นฐาน คือ การส่ง เสริมสุขภาพ ป้องกันโรคไปจนถึงศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคซึ่งในช่วง 3 ปีนี้กำหนด 10 สาขา เช่น อุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคจิตเวช โรคมะเร็ง เป็นต้น หากเขตใดยังขาดแคลนไม่เพียงพอต่อการบริการตามเป้าหมาย จึงจะของบประมาณลงทุน หรือเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอในการบริการเป็นลำดับ” นพ.ณรงค์ กล่าว
วันนี้ (25 ม.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวภายหลังการร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการพัฒนาสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงแผนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ ว่า การประชุมในครั้งเป็นการประชุมเพื่อชี้แจงแผนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มุ่งลดปัญหาการป่วย ลดการเสียชีวิตประชาชนบริการทุกโรคมีมาตรฐาน เพื่อให้บรรลุนโยบายรัฐบาล คือ ประชาชนมีสุขภาพดี อายุยืนเฉลี่ย 80 ปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยการที่จะบรรลุเป้าหมายตามนโยบายดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นไป สธ.ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดระบบบริการแก่ประชาชนครั้งใหญ่ เพื่อให้ครบถ้วนตั้งแต่การป้องกันโรค การสร้างสุขภาพดี เมื่อป่วยแล้วมีโรงพยาบาล (รพ.) ศูนย์เชี่ยวชาญ สามารถให้การรักษาได้ทุกโรค ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย อยู่ใกล้บ้าน ซึ่งงานทุกนโยบายมีตัวชี้วัดผลชัดเจน
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการบริหารให้เป็นไปตามเป้าหมายในระดับเขตให้ผู้ตรวจราชการ ทั้ง 12 เขต เป็นประธาน ระดับจังหวัดให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นประธาน และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สธจ.) ทุกแห่ง ทบทวนและพัฒนาบทบาทของรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลที่มี 9,750 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นบริการปลายทางสุดที่จะส่งมอบให้ประชาชน และเป็นบริการด่านหน้าของ สธ.ที่จะลดปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนทุกคนทั้งโรคทางกาย และโรคทางจิต โดยจะเร่งจัดพยาบาลวิชาชีพประจำการทุกแห่ง และปรับบทบาทการทำงาน ของเจ้าหน้าที่ ให้ออกบริการชุมชน ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้มากขึ้น เพื่อเน้นหนักด้านการส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ใช้เวลาส่วน ใหญ่ใช้เวลาหนักไปในด้านการรักษาพยาบาล โดยจะให้ รพ.ทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง เป็นพี่เลี้ยง รพ.ส่งเสริมสุขภาพทั้งหมด การพัฒนาระบบครั้งให้ครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลทั่วถึง เมื่อป่วยแล้วมี รพ.รักษาใกล้บ้านทุกโรค
“หัวใจของการพัฒนาบริการสาธารณสุขขณะนี้ ต้องการใช้ทรัพยากรภาคบริการที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งบุคลากร การเงินการคลัง เครื่องมือแพทย์ ห้องผ่าตัด เตียงรองรับผู้ป่วย ในพื้นที่ร่วมกัน โรงพยาบาล หรือหมอต้องเป็นที่พึ่งประชาชนทั้งจังหวัด โดยจัดในรูปของเขตบริการ 12 เขต ดูแลเขต 5-8 จังหวัด ทุกเขตบริการมีรูปแบบเหมือนกันทั้งหมดตั้งแต่ระบบริการขั้นพื้นฐาน คือ การส่ง เสริมสุขภาพ ป้องกันโรคไปจนถึงศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคซึ่งในช่วง 3 ปีนี้กำหนด 10 สาขา เช่น อุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคจิตเวช โรคมะเร็ง เป็นต้น หากเขตใดยังขาดแคลนไม่เพียงพอต่อการบริการตามเป้าหมาย จึงจะของบประมาณลงทุน หรือเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอในการบริการเป็นลำดับ” นพ.ณรงค์ กล่าว
