ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แพทย์เฝ้าติดตามอาการ “หลวงพ่อคูณ” ใกล้ชิด ระบุเชื้อทำให้ปอดอักเสบเป็นชนิดรุนแรงรอผลเพาะเชื้อจากห้องแล็บยืนยัน กำชับพยาบาลเฝ้าติดตามอาการทุกระยะ เผยโรคถุงลมโป่งพองยังกำเริบ ต้องพ่นยาขยายหลอดลม และให้ออกซิเจนต่อเนื่อง แพทย์รับอาการอาพาธครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง
วันนี้ (4 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยภายหลังนำทีมแพทย์เข้าตรวจอาการของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ว่า การตรวจปอดล่าสุดยังคล้ายเดิม แต่ยังมีไข้ต่ำ และอ่อนเพลียมีน้ำในปอดน้อยลง
สำหรับการเจาะน้ำในช่องปอดไปตรวจนั้น ยังไม่มั่นใจว่าเป็นหนองหรือไม่ ต้องรอผลการเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการยืนยันก่อน แต่เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะไม่ใช่หนอง
ขณะนี้ ทางทีมแพทย์ได้ให้อาหารผ่านสายยางเข้าไปทางช่องท้องแล้ว ซึ่งได้กำชับให้พยาบาลที่เฝ้าไข้ได้ติดตามอาการอย่างใกล้ชิดทุกระยะ และเจาะเลือดไปตรวจเพื่อติดตามภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
ด้าน นพ.ธนากร อนันตเศรษฐกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางดินหายใจ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กล่าวถึงการตรวจน้ำในช่องปอดของหลวงพ่อคูณ ว่า ผลน้ำที่เจาะออกมาดูก็เป็นเรื่องโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคติดเชื้อในปอด ซึ่งผลยังไม่ถึงกับเป็นหนอง แต่มีการติดเชื้อที่รุนแรง
การรักษายังใช้ยาฆ่าเชื้อแบบฉีดได้เหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หรือดูดน้ำออกมาอีก ต้องดูการตอบสนองจากการรักษาด้วยยาก่อน ส่วนผลการเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการต้องรออีก 2-3 วันจึงจะรู้ผล
ขณะที่ นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมโรคปอด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า เนื่องจากตอนนี้หลวงพ่อคูณมีน้ำในเยื่อหุ้มปอดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้โรคถุงลมโป่งพองที่หลวงพ่อเคยเป็นอยู่แล้วกำเริบขึ้นมาอีก และการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพองจะทำให้หลอดลมตีบ หายใจหอบเหนื่อย เวลาหายใจจะมีเสียงดังตลอด ซึ่งการรักษานั้นได้ใช้วิธีการพ่นยา และให้ออกซิเจน การพ่นยาจะต้องทำเป็นระยะๆ ต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการขยายหลอดลม และคอยให้ออกซิเจนเพื่อไม่ให้ออกซิเจนในเลือดต่ำลงอีก
การรักษานั้นมุ่งไปที่การรักษาปอดอักเสบเป็นหลัก เมื่อปอดดีแล้วอาการโรคถุงลมโป่งพองจะดีขึ้นเอง และการรักษาจะใช้เวลานานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคนไข้ซึ่งรอการประเมินการให้ยาฆ่าเชื้อซึ่งจะครบกำหนดในวันศุกร์ที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่งตอนนี้อาการโดยรวมยังทรงตัว
“ปอดอักเสบสามารถเป็นได้ แต่ก็หายได้เช่นกัน แต่หลวงพ่อคูณท่านมีโรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว ฉะนั้น สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังต่อไปคือ การสำลักต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก และเวลาเกิดปอดอักเสบขึ้นก็มักจะกระตุ้นโรคเดิมให้กำเริบขึ้นมา ทำให้ระบบอื่นๆ ของร่างกายรวนขึ้นได้ ยอมรับว่า อาการอาพาธของหลวงพ่อครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง” นพ.อนุชิตกล่าว