ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - รอง ปธ.หอการค้าภาคอีสาน คาด ปชช.แห่ร่วมม็อบ “เสธ.อ้าย” และยืดเยื้อแน่ ผวากระทบเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวไทยช่วงปลายปี แต่สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของนักการเมือง ปชช.ไม่เชื่อมั่นระบอบรัฐสภา แนะ รบ.ควรใจกว้างรับฟังความเห็นและอย่าพูดยั่วยุ เพราะจะทำให้เกิดความรุนแรง ระบุ ไม่จำเป็นต้องงัด กม.ความมั่นคงมาใช้ เหตุส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศ ชี้เป็นยุคสถาบันทหารแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
วันนี้ (18 พ.ย.) ที่สำนักงานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ รองประธานหอการค้าภาคอีสาน และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม โดยการนำของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ว่า ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนสามารถชุมนุมได้แต่ต้องให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนผลกระทบนั้นคิดว่ามีแน่นอนโดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนลังเลใจในการที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และที่เปราะบางมากที่สุดคือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยว อาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ หากการชุมนุมรุนแรงก็จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจใหม่ ฉะนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจมีแน่นอนส่วนมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการชุมนุม
แต่สำหรับสังคมไทยแล้ว ที่บอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่สะท้อนได้ตอนนี้คือประชาชนไม่เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา จึงต้องหันไปพึ่งการชุมนุมที่เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ฉะนั้น นักการเมืองก็ต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองเช่นกันว่าทำไมไม่มาสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐสภา ดังนั้น การเคลื่อนไหวชุมนุมวันที่ 24 พ.ย.นี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมไทย ซึ่ง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมา และประชาชนให้การตอบรับ รัฐบาลเองมีความวิตกกังวลต่อการชุมนุมที่จะเกิดขึ้น คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนแค่ตัวเลขหลักพัน แต่ตอนนี้ต้องพูดกันถึงหลักหมื่นและขึ้นไปเป็นหลักแสนหากไปกันถึงหลักแสนได้จริง คำถามว่ามีโอกาสไปที่ล้านคนได้หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าทำไมประชาชนจึงให้การตอบรับที่จะไปร่วมชุมนุมมาก เรื่องนี้คิดว่ารัฐบาลต้องรับฟังเช่นกัน
ส่วนจะมีความรุนแรงหรือไม่นั้น โดยส่วนตัวมองว่า ความรุนแรงนั้นน่าจะเกิดจากการชี้นำของผู้นำมากกว่าโดยเฉพาะผู้นำภาครัฐ บางครั้งไม่เข้าใจว่าคนของรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าถ้ามียิงอาร์พีจีเข้าไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งการพูดเช่นนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย และยิ่งเป็นการชี้นำ ยั่วยุ ฉะนั้น วันนี้ผู้นำคือฝ่ายรัฐบาลจะต้องมีความมั่นคงและดูแล อย่าพูดในเชิงยั่วยุ หรือชี้นำเพราะจะเป็นอันตราย
“วันนี้รัฐบาลต้องเปิดใจกว้างในการรับฟังคิดเห็น หรือรัฐบาลอาจแต่งตั้งคนของรัฐบาลเข้าไปรับฟังเป็นการให้เกียรติประชาชนเพื่อเข้าไปรับฟังว่าเขาพูดเรื่องอะไร เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าสาระหลักๆ นอกจากที่พูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วผู้ชุมนุมจะพูดอะไรอีก ฉะนั้น คิดว่าเราควรเปิดโอกาสเพราะเราเป็นระบอบประชาธิปไตย การที่เราไปสร้างความกังวลล่วงหน้ามันจะเกิดปัญหาได้” นายทวิสันต์กล่าว
นายทวิสันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับทางออกที่ดีในตอนนี้ อยู่ที่นักการเมืองจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในนักการเมือง ทำอย่างไรให้เกิดความศรัทธาในระบอบการปกครอง เพราะตอนนี้ หากพูดถึงการเมืองทุกคนไม่มีความศรัทธาและบางคนสิ้นหวังด้วยซ้ำ ดังนั้น 500-600 คนในสภาต้องคิด หากเกิดอะไรขึ้นมาคนเหล่านี้จะเป็นจำเลยของสังคมไทยเพราะเขาเลือกขึ้นไปทำหน้าที่แล้ว ดูเหมือนไม่ได้ทำหน้าที่เท่าที่ควร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็จะเป็นปัญหา
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือว่า วันนี้ทหารมีความแตกแยกกันสูงมากซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่เคยมีทหารใหญ่ระดับสูงออกมาปะทะกันแรงขนาดนี้ ซึ่งทหารทุกคนมีลูกน้อง มีอาวุธ มีกองกำลัง มีการวางแผน มียุทธศาสตร์ที่เก่งกล้า ฉะนั้น การที่ทหารออกมาในครั้งนี้ทำให้สถาบันทหารลดความน่าเชื่อถือลงไปมาก เพราะสังคมไทยพึ่งพาระบบทหารมาก แต่ถ้าทหารมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกขนาดนี้และประกาศตัวชัดเจนก็จะยิ่งทำให้มีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ การที่ผู้นำมหาอำนาจอย่าง นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินทางมาเยือนประเทศไทยตอนนี้แทนที่จะมองไปในแง่บวก ทุกคนมองกันในแง่ลบว่า หรือมหาอำนาจจะมาหยิบฉวยในยามที่เราอ่อนแอในการตกลงอะไรบางอย่าง ซึ่งเรื่องนี้เลยกลายเป็นภาพลบโดยภาพรวม ยิ่งถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามา เช่น การบุกยื่นจดหมาย หรือประท้วงก็ทำให้ความสัมพันธ์ หรือสิ่งที่ควรได้กลับเสียไป
ต่อข้อถามที่ว่า การชุมนุมครั้งนี้จำเป็นหรือไม่ที่ต้องนำกฎหมายความมั่นคงมาใช้ในการควบคุม นายทวิสันต์ กล่าวว่า ยิ่งใช้ยิ่งมีความเสียหาย เมื่อข่าวออกไปทั่วโลกเขาจะมองว่าตอนนี้เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะการใช้กฎหมายอะไรก็ตามที่เป็นกรณีพิเศษแสดงว่า ระบบปกติเราไม่สามารถดูแลได้ ฉะนั้น การประกาศใช้กฎหมายพิเศษนั้นรัฐบาลจะต้องทบทวนเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่า
“ส่วนการชุมนุมครั้งนี้จะเกิดความรุนแรง และยืดเยื้อหรือไม่นั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมด แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะดูแลไม่ให้เกิดความรุนแรงได้หรือไม่ และเชื่อว่าการชุมนุมครั้งนี้น่าจะยืดเยื้อเพราะคิดว่าผู้ชุมนุมน่าจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพิ่มเติม” นายทวิสันต์กล่าว