นครปฐม - “ประธานกลุ่มศรีทวารวดี” ยื่นอุทธรณ์หลังศาลปกครองกลางยกฟ้องคดีพิพาทกรมศิลปากรและเทศบาลนครนครปฐมใช้อำนาจโดยไม่ชอบอนุมัติก่อสร้างสำนักงานเทศบาลนครนครปฐม ทับพื้นที่พระราชวังปฐมนคร พระตำหนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงใช้เป็นที่ประทับการบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์
วันนี้ (18 เม.ย.) ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายไพบูลย์ พวงสำลี ประธานกลุ่มศรีทวารวดี ซึ่งเป็นกลุ่มภาคประชาชน ที่ค้นคว้า อนุรักษ์ และปกป้องพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครปฐม ได้เข้ายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด หลังศาลปกครองกลางได้ยกฟ้องกรณีที่กลุ่มศรีทวารวดี ได้ยื่นฟ้องกรมศิลปากรได้มีคำสั่งอนุญาตให้เทศบาลนครนครปฐม ก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลนครนครปฐม บนพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ พระราชวังปฐมนคร ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประทับในการบูรณะวัดพระปฐมเจดีย์ และองค์พระปฐมเจดีย์ หลังจากที่ศาลปกครองกลางได้ตัดสินยกฟ้องในคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ ในวันดังกล่าว นายไพบูลย์ พวงสำลี ประธานกลุ่มศรีทวารวดี ได้ให้ความเห็นว่า การเข้ายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นไปตามสิทธิและกระบวนการตามกฎหมายที่พึงกระทำได้ และได้นำเรื่องความเหมาะสม และความสำคัญของพระราชวังปฐมนคร ซึ่งถือเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในการก่อเกิดของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งพระราชวังปฐมนคร ยังเป็นสถานที่ที่มีการบันทึกไว้ในพงศาวดาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชประสงค์ให้ก่อสร้างพระราชวังปฐมนคร ไว้คู่กับวัดพระปฐมเจดีย์สืบไป รวมถึงการที่เทศบาลนครนครปฐมจะก่อสร้างอาคารแห่งใหม่บนสถานที่ที่เป็นโบราณสถานนั้น ควรจะได้มีการให้ประชาชนทั้งจังหวัดนครปฐม ได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดในการก่อสร้างตามกฎหมายอีกด้วย
นายไพบูลย์ พวงสำลี ประธานกลุ่มศรีทวารวดี กล่าวว่า ในการยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้ได้หวังเพื่อจะให้มีการเก็บพื้นทีประวัติศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนครปฐม ที่อยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดนครปฐม และคนไทย จะได้มีสถานที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทย ที่ทรงมีคุณูปการแก่คนไทย ซึ่งพระราชวังปฐมนครนั้น มีความเชื่อมโยงที่ทำให้มีองค์พระปฐมเจดีย์ที่ใหญ่เป็นตระหง่านอยู่ในทุกวันนี้และหวังให้เป็นโบราณสถานที่คู่ควรกับจังหวัดนครปฐมต่อไป แทนที่จะเหลือเพียงภาพถ่าย หรือซากแห่งประวัติศาสตร์ที่จะทำให้คนรุ่นหลังได้สืบค้นประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครปฐมและประเทศไทยต่อไปอีกด้วย
