แพร่ - ผู้ว่าฯแพร่ ยกคณะดูจุดเกิดเหตุไฟป่ารอยต่ออุทยานฯดอยผากลอง-ป่าสสงวนแห่งชาติห้วยเบี้ย-บ่อทอง พบไฟผลาญป่าเหี้ยน ระบุแค่ 4 ปีผืนป่าแพร่ถูกนายทุน-ชาวบ้านรุกแล้วเกือบ 1 แสนไร่ ทำวิกฤตคุณภาพอากาศรุนแรงขึ้น สั่งตรวจที่ดิน สปก.ทั้งจังหวัด ออกไม่ถูกต้อง หรือชาวบ้านบุกรุกเอาผิดตามกฎหมาย
เช้าวันนี้ (23 มี.ค.55) นายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ได้เข้าตรวจสอบจุดที่มีการเผาป่าบริเวณหมู่ 6 ต.วังธง อ.เมือง จ.แพร่ เขตติดต่อระหว่างแนวที่ดิน ส.ป.ก.กับแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยผากลอง ป่าสงวนแห่งชาติห้วยเบี้ย-บ่อทอง พบมีการตัดโค่นไม้ขนาดใหญ่ล้มลงแล้วเผาเป็นบริเวณกว้าง นอกจากนี้ขณะที่เข้าตรวจสอบยังพบมีไฟป่าลุกไหม้อยู่ จึงได้ใช้ชุดเสือไฟ (หน่วยดับไฟป่า) จำนวน 60 นาย พร้อมรถดับไฟของหน่วยป้องกันไฟป่าแพร่ เข้าฉีดน้ำดับไฟบริเวณดังกล่าว
และจากการเข้าดับไฟ-ตรวจสอบพื้นที่ที่มีการเผาป่า พบมีประชาชนหรือกลุ่มทุนพยายามบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำกินและมีโอกาสก็จะนำไปจำหน่ายให้กับนายทุน ซึ่งที่ดินในภาคเหนือมีผู้เข้ามาซื้อในปริมาณที่มากขึ้น
นายเกษม กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจพบว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพื้นที่ป่าในจังหวัดแพร่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ทำกินพื้นที่ป่าหายไปถึง 90,000 ไร่ จากป่าไม้ที่มีอยู่ทั้งหมด 2,000,000 ไร่ ซึ่งการเข้าดับไฟป่าทำให้เห็นบริเวณที่มีการบุกรุก มากที่สุดที่ อ.สอง อ.ลอง และ อ.เด่นชัย ตามลำดับ
ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ บอกอีกว่า สำหรับแนวทางแก้ไขไม่เพียงดับไฟป่าเท่านั้น แต่ต้องจัดการพื้นที่บุกรุกให้ชัดเจน โดยจะมีการสำรวจพื้นที่ ส.ป.ก.พื้นที่ครอบครองโดยผิดกฎหมายทั้งจังหวัด บางส่วนที่ยึดคืนได้จะทำเป็นป่าถาวรต่อไป ในส่วนที่ชุมชนสามารถดูแลได้จะให้มีการพัฒนาเป็นป่าชุมชน และส่วนที่ประชาชนครอบครองมานานแล้ว จะให้มีการเปลี่ยนจากป่าข้าวโพดหันมาพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสาน มีการปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มเติม
นายเกษม เปิดเผยว่า ปัญหาการจุดไฟเผาป่า เศษวัชพืช จนส่งผลต่อคุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดแพร่ และใกล้เคียง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จังหวัดแพร่ ได้พยายามทุกวิถีทางให้ปัญหาหมอกควันลดน้อยลงไปหรืออยู่ในจังหวะที่ปลอดภัย โดยให้หน่วยงานเกษตร พัฒนาที่ดิน เข้าทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่เกษตรกรรมแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการกำจัดเศษวัชพืชเหลือใช้เปลี่ยนจากการเผาหันไปทำปุ๋ยแทน และถ้าจำเป็นต้องเผาต้องจัดระเบียบไม่ให้มีการเผาพร้อมๆ กัน
ในส่วนพื้นที่ป่าที่มีไฟไหม้อย่างต่อเนื่องนั้น ได้ขอความร่วมมือไปยัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยป่าไม้ ตำรวจ หน่วยดับไฟป่า ให้ช่วยกันทำงานเชิงรุกในการเข้าระงับการเกิดไฟอย่างรวดเร็วและทำงานความคิดให้เกิดความเข้าใจถึงพิษภัยการเผาป่าและประโยชน์จากเศษวัชพืชในป่าที่เป็นวิธีการสร้างสมดุลทางธรรมชาติที่ดี แต่ชาวบ้านกลับเผาเสียหมด
