ศูนย์ข่าวศรีราชา - พบสะสมตะกอนดินปนเปื้อนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน บริเวณอ่าวประดู่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมจะจัดประชาพิจารณ์ให้ประชาชนรับทราบและเสนอแนวทางฟื้นฟูคุณภาพน้ำทะเล
จากกรณีที่กรมควบคุมมลพิษได้มีการตรวจพบการสะสมตัวของตะกอนดินสีดำ ที่มีกลิ่นเหม็น บริเวณที่รองรับน้ำทิ้งจากคลองระบายน้ำนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และคลองชากหมาก ซึ่งได้ทำการประเมินพบว่า มีพื้นที่ 3.25 ตารางกิโลเมตร และมีปริมาตรกว่า 340,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล โดยจากการวิเคราะห์ตะกอนดิน พบว่า มีปริมาณออร์กานิกคาร์บอนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน โลหะหนัก เช่น สารหนู สังกะสี ปรอท มีค่าเกินกว่าระดับที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำนั้น
นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา และเลขาธิการสมาคมอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยว่า บริเวณอ่าวประดู่ ปากคลองชากหมากเป็นคลองระบายน้ำจากชุมชนเหนือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และไหลผ่านนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 20 กว่าแห่งทำการบำบัดน้ำเสียและระบายน้ำทิ้งลงสู่คลองชากหมากโดยตรง และไหลไปรวมกับบริเวณอ่าวประดู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลมีลักษณะนิ่ง เนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ถมทะเล
ในช่วงน้ำลงจะมีตะกอนเลนสีดำปนเปื้อนด้วยน้ำมันผุดขึ้นมาให้เห็น มีกลิ่นเหม็นก๊าซไข่เน่า (ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์) และกลิ่นซัลเฟอร์เป็นบางครั้ง ซึ่งแสดงว่า ตะกอนขนาด 340,000 ลูกบาศก์เมตร นั้น เป็นตะกอนที่น่าจะมาจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตปิโตรเลียม จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ามีโลหะหนักบางประเภท เช่น สารหนู ปรอท สังกะสี มีค่าเกินมาตรฐานที่อาจจะสะสมในสัตว์น้ำได้ ระยะยาวอาจมีคราบน้ำมันลอยผุดขึ้นมา
ทั้งนี้ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 วันที่ 2 ธันวาคม 2553 ได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตะกอนดินสีดำ โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษตรวจสอบแหล่งที่มาของตะกอนที่ปนเปื้อนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนและสารปรอท และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและหาสาเหตุ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการปนเปื้อนขึ้นอีกในอนาคต
นายสนธิ คชวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคประชาชนจังหวัดระยอง กำลังจับตามองปัญหา และ แนวทางการแก้ไขปัญหาตะกอนดินสีดำดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม และในฐานะที่เป็นเลขาธิการสมาคมอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย ต้องพิจารณาเรื่องสุขภาพอนามัยกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ และคิดว่า จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดการสะสมของโลหะหนัก และไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นอาหารของประชาชนได้
จากการได้ประสานกับภาคประชาชนและภาคราชการ ทราบว่า ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 บริษัทที่ปรึกษาและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะจัดประชาพิจารณ์ให้ประชาชนรับทราบและเสนอแนวทางฟื้นฟูคุณภาพน้ำทะเล ในพื้นที่อ่าวประดู่ บริเวณปากคลองชากหมาก รวมทั้งแนวทางป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหาตะกอนสะสมตัวดังกล่าวอีก และภาคประชาชนเองกำลังจับตาที่กรมควบคุมมลพิษว่าจะสามารถสืบหาที่มาของการปนเปื้อน โดยวิธีบ่งชี้ลักษณะของน้ำทิ้ง (Finger Print) เพื่อวิเคราะห์ว่าการปนเปื้อนดังกล่าวมาจากแหล่งใด ซึ่งทราบว่ากรมควบคุมมลพิษ จะนำเสนอให้สาธารณชนทราบได้ภายในเดือนมีนาคม 2555
จากกรณีที่กรมควบคุมมลพิษได้มีการตรวจพบการสะสมตัวของตะกอนดินสีดำ ที่มีกลิ่นเหม็น บริเวณที่รองรับน้ำทิ้งจากคลองระบายน้ำนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และคลองชากหมาก ซึ่งได้ทำการประเมินพบว่า มีพื้นที่ 3.25 ตารางกิโลเมตร และมีปริมาตรกว่า 340,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล โดยจากการวิเคราะห์ตะกอนดิน พบว่า มีปริมาณออร์กานิกคาร์บอนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน โลหะหนัก เช่น สารหนู สังกะสี ปรอท มีค่าเกินกว่าระดับที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำนั้น
นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา และเลขาธิการสมาคมอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยว่า บริเวณอ่าวประดู่ ปากคลองชากหมากเป็นคลองระบายน้ำจากชุมชนเหนือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และไหลผ่านนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 20 กว่าแห่งทำการบำบัดน้ำเสียและระบายน้ำทิ้งลงสู่คลองชากหมากโดยตรง และไหลไปรวมกับบริเวณอ่าวประดู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลมีลักษณะนิ่ง เนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ถมทะเล
ในช่วงน้ำลงจะมีตะกอนเลนสีดำปนเปื้อนด้วยน้ำมันผุดขึ้นมาให้เห็น มีกลิ่นเหม็นก๊าซไข่เน่า (ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์) และกลิ่นซัลเฟอร์เป็นบางครั้ง ซึ่งแสดงว่า ตะกอนขนาด 340,000 ลูกบาศก์เมตร นั้น เป็นตะกอนที่น่าจะมาจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตปิโตรเลียม จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ามีโลหะหนักบางประเภท เช่น สารหนู ปรอท สังกะสี มีค่าเกินมาตรฐานที่อาจจะสะสมในสัตว์น้ำได้ ระยะยาวอาจมีคราบน้ำมันลอยผุดขึ้นมา
ทั้งนี้ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 วันที่ 2 ธันวาคม 2553 ได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตะกอนดินสีดำ โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษตรวจสอบแหล่งที่มาของตะกอนที่ปนเปื้อนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนและสารปรอท และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและหาสาเหตุ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการปนเปื้อนขึ้นอีกในอนาคต
นายสนธิ คชวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคประชาชนจังหวัดระยอง กำลังจับตามองปัญหา และ แนวทางการแก้ไขปัญหาตะกอนดินสีดำดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม และในฐานะที่เป็นเลขาธิการสมาคมอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย ต้องพิจารณาเรื่องสุขภาพอนามัยกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ และคิดว่า จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดการสะสมของโลหะหนัก และไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นอาหารของประชาชนได้
จากการได้ประสานกับภาคประชาชนและภาคราชการ ทราบว่า ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 บริษัทที่ปรึกษาและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะจัดประชาพิจารณ์ให้ประชาชนรับทราบและเสนอแนวทางฟื้นฟูคุณภาพน้ำทะเล ในพื้นที่อ่าวประดู่ บริเวณปากคลองชากหมาก รวมทั้งแนวทางป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหาตะกอนสะสมตัวดังกล่าวอีก และภาคประชาชนเองกำลังจับตาที่กรมควบคุมมลพิษว่าจะสามารถสืบหาที่มาของการปนเปื้อน โดยวิธีบ่งชี้ลักษณะของน้ำทิ้ง (Finger Print) เพื่อวิเคราะห์ว่าการปนเปื้อนดังกล่าวมาจากแหล่งใด ซึ่งทราบว่ากรมควบคุมมลพิษ จะนำเสนอให้สาธารณชนทราบได้ภายในเดือนมีนาคม 2555
