ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แพทย์นำ “หลวงพ่อคูณ” เข้าเอกซเรย์ระบบสมองด่วน หวั่นเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบหรือติดเชื้อหลังเกิดอาการซึมเศร้า เผยผลเอกซเรย์และอัลตราซาวนด์ทรวงอกไม่พบปัญหา ระบุอาการโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีไข้ ตอบสนองได้ดี แต่อ่อนเพลียให้พักผ่อนมากขึ้น ชี้รอผลประชุมร่วมลูกศิษย์-ผู้ว่าฯ จะเจาะหน้าท้องให้อาหารที่รพ.มหาราชโคราชหรือย้ายไป รพ.ศิริราช กรุงเทพฯ 5 ก.ย.
วันนี้ (3 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งพักรักษาอาการอาพาธวัณโรคปอด อยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ วีไอพี 9821 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 4 พ .ค.ที่ผ่านมา รวมเป็นเวลานานร่วม 4 เดือน แล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ยังคงมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด และ คณะแพทย์ได้ให้น้ำเกลือขนาด 500 ซีซี 1 ขวด พร้อมกับพ่นยาขยายหลอดลม 30 นาที และสั่งห้ามเยี่ยมเด็ดขาด แต่สามารถกราบไหว้ ลงนามสมุดเยี่ยมและดูหลวงพ่อคูณได้ผ่านทางจอโทรทัศน์วงจรปิดที่บริเวณด้านหน้าห้องผู้ป่วยเท่านั้น เนื่องจากแพทย์ต้องการให้หลวงพ่อได้พักผ่อนมากขึ้น หลังมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมาหลายวัน
นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยภายหลังเข้าตรวจอาการว่า อาการหลวงพ่อโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่มีไข้ ตอบสนองตอบโต้ได้ดีและรู้เรื่อง แต่มีอาการอ่อนเพลียบ้างต้องให้ท่านพักผ่อนมากขึ้น ซึ่งแพทย์ได้ให้น้ำเกลือเสริมอีก ตอนนี้ดีขึ้นเป็นลำดับ และเรื่องปอดบวมจากการสำลักอาหารครั้งล่าสุดดีขึ้น จากการดูฟิล์มเอกซเรย์ปอดลักษณะรอยโรคหายไปเกือบหมดแล้ว
ส่วนการตัดสินใจจะเจาะหน้าท้องเพื่อให้อาหารทางสายยาง ที่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หรือ ย้ายไปที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ นั้น ทราบว่าจะมีการประชุมหารือเรื่องนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.นี้ แต่ยังไม่ทราบว่าจะได้ข้อสรุปเลยหรือไม่อย่างไร
สำหรับทางลูกศิษย์และทางจังหวัดนครราชสีมา หากสามารถพูดคุยกับทางโรงพยาบาลศิริราชที่เสนอว่าจะมาทำให้ที่นี่ด้วยตัวเองให้เปลี่ยนใจโดยให้ย้ายไปทำที่ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯได้ แพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เราก็ไม่ว่าอะไร ยินดีที่จะส่งหลวงพ่อคูณไปอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ตนขอเรียนว่าการที่เราเปลี่ยนช่องทางให้อาหารหลวงพ่อ จากทางจมูกมาเป็นทางหน้าท้อง มันสามารถช่วยในเรื่องของจิตใจของผู้ป่วย และ ลดการสำลักได้ แต่ลดไม่ได้ทั้งหมดซึ่งปัจจัยที่เรายังไม่สามารถแก้ไขได้คือ อายุของหลวงพ่อ และปัญหาเรื่องเส้นเลือดสมองทำให้กระบวนการการกลืนมีปัญหา ทั้ง 2 ปัจจัยนี้เราไม่สามารถจะแก้ไขได้
ขณะที่การให้อาหารและยาทางหน้าท้องหลวงพ่อก็สามารถฉันเองได้ หากท่านอยากฉัน แต่อาจได้ไม่มากแต่อย่างน้อยเป็นความรู้สึกและไม่มีอะไรคาอยู่ในจมูก กลืนไม่ลำบาก อันนี้มีผลต่อความรู้สึกของหลวงพ่อมาก ซึ่งขณะนี้แพทย์เราเริ่มหยุดให้ยาบางตัวกับหลวงพ่อไปแล้วเพื่อเตรียมรับการผ่าตัด นั่นแสดงว่าอีก 1 สัปดาห์ เราต้องดำเนินการเจาะได้
จากนั้น เวลา 10.30 น.วันเดียวกันนี้ ภายหลังจากที่หลวงพ่อคูณมีอาการซึมเศร้า เหงาหงอย นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณได้เฝ้าสังเกตอาการและตัดสินใจนำหลวงพ่อคูณ ออกจากห้องพักผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 โรงพยาบาลมหาราชฯ ลงไปยังชั้น 1 เข้าห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความละเอียดสูง เพื่อตรวจระบบสมองเป็นการด่วน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ โดยใช้เวลา 15 นาที จากนั้นได้นำไปตรวจอัลตราซาวนด์ทรวงอกจนถึงท้องอีก 15 นาที ก่อนนำหลวงพ่อไปพักผ่อนที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 ตามเดิม
ในระหว่างทางที่เจ้าหน้าที่เข็นเตียงคนไข้ นำหลวงพ่อคูณไปยังห้องเอกซเรย์และอัลตราซาวนด์นั้น ได้มีประชาชนญาติโยมที่เดินทางมาเยี่ยมผู้ป่วยจำนวนมากพากันนั่งลงกราบไหว้ขอให้หลวงพ่อคูณหายจากอาพาธกลับวัดบ้านไร่ได้โดยเร็ววัน
นพ.พินิจจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่ช่วงนี้หลวงพ่อมีอาการซึมๆ หงอยๆ ซึ่งโดยหลักการหากหลวงพ่อเริ่มซึมขึ้นมาต้องตรวจว่ามีโรคทางกายซ่อนเร้นหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้อ หรือที่เรากลัวมาก คือปัญหาทางสมอง เท่าที่ตรวจเช็กทั้งสองระบบยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร ทุกอย่างยังเหมือนเดิม รวมทั้งเช็กผลแล็บก็ยังไม่สามารถอธิบายอาการซึมหงอยของหลวงพ่อ ทั้งชีพจร หัวใจ ความดันก็อยู่ในเกณฑ์ดี น้ำหนักตัวอยู่ที่ 40 กิโลกรัม และอาหารเหลวก็รับได้ดีไม่มีปัญหาตรงนี้
ฉะนั้นเชื่อว่าการที่หลวงพ่อไม่สดชื่นนัก อาจเป็นเรื่องของทางอารมณ์หรือจิตใจส่วนหนึ่งที่อาจมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย เพราะมาพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนานเป็นเดือนที่ 4 แล้ว อะไรที่ท่านไม่ชอบต้องได้เจอตลอด เช่น การเจาะเลือด ฉีดยา และมีสายยางคาอยู่ที่จมูก ไม่ให้ฉันทางปาก ภาวะต่างๆ เหล่านี้เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่อธิบายได้ว่าทำไมหลวงพ่อดูซึมๆ ไป
อย่างไรก็ตาม แพทย์ต้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนการรักษาทางอารมณ์คงจะใช้วิธีให้ลูกศิษย์ที่สนิทใกล้ชิดและหลวงพ่อเรียกหาประจำมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับหลวงพ่อ ซึ่งหมุนเวียนกันมาครั้งละ 2 คน