ฉะเชิงเทรา - กลิ่นเงิน 300 บาท ค่าจ้างอัตราใหม่ของว่าที่รัฐบาลช่วงหน้า หอมไกลทั่วทั้งภูมิภาค หลังแรงงานจากโซนเอเชียใต้ แห่เคลื่อนพลสวมสัญชาติประเทศเพื่อนบ้าน มุ่งหน้าเข้ามาทำงานในไทยล้น ขณะหอการค้าแปดริ้ว เผย นายจ้างส่วนใหญ่เตรียมแก้เกมรัฐบาล เล็งหันใช้แรงงานนอกนโยบายหาเสียงเข้าทำงานแทนที่
วันนี้ (1 ส.ค.) เวลา 14.30 น. นายพรศักดิ์ เลิศเกียรติดำรง ประธานบริหารบริษัท เอเชีย อลูมินั่ม 1988 และบริษัท เอเอจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด นักธุรกิจด้านชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้างอาคารสูง กล่าวเปิดเผยถึงมุมมองในกรณีการเตรียมปรับขึ้นค่าแรงงานตามนโยบายหาเสียงของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงาน ในอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท และปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ขณะเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ในเขตพื้นที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ว่า หากรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการตามนโยบายขึ้นค่าแรงที่ได้หาเสียงไว้จริงนั้น หากเป็นการขึ้นแบบพรวดเดียวหมดทั้งประเทศ เราจะพากันไปตกที่นั่งลำบาก ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า
โดยการปรับขึ้นนั้นต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยหากเริ่มที่ปริญญาตรีหมื่นห้า คนที่ทำงานอยู่เก่าจะต้องเริ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ ซึ่งอาจต้องขึ้นไปตามเปอร์เซ็นต์ หรือตามความสามารถ โดยทั้งภาครัฐ และเอกชน ต้องใช้เงินตรงส่วนนี้อีกหลายแสนล้านบาท อนาคตของประเทศไทยจะต้องเต็มไปด้วยหนี้ ทั้งหนี้ของสังคม หนี้ของรัฐ ประกอบกับยังมีนโยบายลดภาษีรายได้นิติบุคคล แล้วรัฐจะไปเอาเงินมาจากไหนปัญหาจะแก้ได้ยากยิ่งขึ้น
ฉะนั้น การปรับขึ้นค่าแรงต้องค่อยเป็นค่อยไป เช่น ค่าแรง 300 บาทนั้น ต้องแยกแยะไปตามสาขาอาชีพ เนื่องจากแรงงานของไทยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาตามทักษะของอาชีพแรงงาน หรือมีความรู้ในด้านสาขาอาชีพที่แท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่แรงงานของเรานั้นมาจากภาคเกษตร
ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาในการฝึกทักษะในแต่ละอาชีพนั้นๆ จนมีความชำนาญ บางอาชีพต้องใช้เวลานาน 4-5 ปี จึงจะสามารถยอมรับให้เป็นแรงงานมีฝีมือได้ จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะปรับค่าแรงงานตามนั้น ส่วนแรงงานที่ไร้ฝีมือนั้น อัตราค่าจ้องสูงสุดนั้นควรจะอยู่ที่ 230 บาทแยกไปตามสาขาอาชีพ โดยสาขาที่ขาดแคลนนั้น อาจจะให้ได้มากถึง 250 บาท
โดยปัจจุบันนี้ แรงงานในประเทศของเรา ก็ถือว่ามีค่าแรงงานที่สูงมากอยู่แล้ว จนทำให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน ไหลทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งในขณะนี้เริ่มมีแรงงานทั้งจากอินเดีย บังคลาเทศ และเนปาล ก็เริ่มทยอยไหลเข้ามาแล้ว ผ่านทางประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเรา ซึ่งเป็นการสวมเข้ามาในฐานะแรงงานชาวพม่า (เพราะสามารถทำบัตรได้ง่าย) ซึ่งไทยเรานั้นมีเอ็มโอยูร่วมกับ 3 ประเทศนี้ คือ พม่า ลาว กัมพูชา
นายพรศักดิ์ กล่าวต่อว่า โดยบุคคลเหล่านี้ เมื่อนำมาพัฒนาจะใช้เวลาเพียงประมาณ 6 เดือน - 1 ปี ก็จะกลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ เพราะเขามีความมุมานะ ตั้งใจ ในการทำงานมากกว่าแรงงานในประเทศของไทยเราเอง เนื่องจากค่าแรงงานภายในประเทศของเขานั้น มีรายได้เพียงเดือนละไม่เกิน 1 พันบาท หรือวันละ 20 บาท ช่างฝีมือ 40-60 บาท ไม่พอเลี้ยงครอบครัว เมื่อเขาต้องใช้ความพยายามที่จะเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย ที่ต้องผ่านกระบวนการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายหัวมากมาย 5,000-10,000 บาทต่อหัวแล้ว
คนเหล่านี้จึงมีความขยันที่จะหาเงินส่งกลับบ้าน ซึ่งในแต่ละเดือนนั้น เขาส่งกลับไม่ต่ำกว่า 5-6 พันบาท และทุกคนที่เข้ามานั้นอยากที่จะทำงาน และต้องการทำงานทั้ง 7 วันเต็ม โดยไม่มีวันหยุด เพราะมีรายได้มากถึงวันละ 215 ไปจนถึง 300 บาท หากมีการปรับขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ ส่วนแรงงานของไทย ที่มีฝีมือจริงๆ นั้น ก็ไม่ได้ทำงานอยู่ในประเทศของเราอีกเช่นเดียวกัน แต่ไปอยู่ยังที่ต่างประเทศ เช่น ในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมีเงินเดือนในระดับ 8 หมื่น ถึง 1 แสนบาท
สำหรับสิ่งที่จะฝากไปถึงรัฐบาลชุดใหม่นั้น อยากจะบอกว่า อย่าทำให้ประเทศไทยมีสภาพเป็นไปเหมือนกับประเทศกรีซ และอาร์เจนตินา เพราะการทำประชานิยมที่มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องนั้นต้องมีการบริหารจัดการอย่างรัดกุมโดยรัฐบาล และอย่าทำประชานิยม และใช้เงินของประเทศมากจนเกินไป เพราะอนาคตคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราจะลำบาก เมื่อถึงเวลานั้นเราจะแก้กันไม่ได้ เช่น เรามีเงินทุนอยู่แค่พันล้าน แต่เราไปกู้เขามาทำประชานิยมถึง 2-3 พันล้าน เมื่อเราใช้เงินเกินตัวเราจะอยู่กันได้อย่างไร เราจะแก้ปัญหาอย่างไร
ดังนั้น จึงต้องมีความสมดุล และเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งถือว่าไม่สายจนเกินไป ซึ่งการพัฒนาในประเทศของเราจริงๆ นั้น ยังอยู่กันแค่ระดับกลาง และระดับล่าง เท่านั้นเอง ส่วนการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจนั้น หลายประเทศทั่วโลกนั้นรัฐบาลจะร่วมมือกับพ่อค้า ที่จะเข้าไปในฐานะเป็นผู้ส่งเสริม โดยภาคเอกชนได้ไปเปิดตลาด ไปกรุยทางไว้แล้วยังประเทศใดรัฐบาลก็ควรที่จะเร่งเข้าไปช่วยส่งเสริม เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศคู่ค้านั้นๆ ซึ่งปัจจุบันมีกรมส่งเสริมธุรกิจการส่งออกอยู่แล้ว แต่แรงขับดันยังไม่ถึง จึงควรที่จะใช้กลไกของรัฐบาลเข้าไปดูแล โดยเฉพาะโครงการส่งออกที่สำคัญขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่านับพันๆ ล้านบาท นั้น หากเราไปเจรจาไว้แต่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐนั้น ก็จะขาดความน่าเชื่อถือจนทำให้โครงการนั้นตกลงไป
ตัวอย่างของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านที่น่ามอง อย่างเช่น สิงคโปร์ นั้น เมื่อภาคเอกชนของเขาจะไปลงทุนที่ไหน รัฐบาลของเขาก็จะรีบเข้าไปช่วยสนับสนุน บางครั้งนายกรัฐมนตรีของเขายังต้องเดินทางเพื่อไปสร้างความเชื่อมั่นด้วยตนเอง ส่วนของเรานั้นอย่างน้อยก็ควรจะมีรัฐมนตรีการค้า รัฐมนตรีพาณิชย์ หรือผู้ช่วย เดินทางไปสนับสนุนสร้างความเป็นมิตรให้แก่ประเทศคู่ค้า เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ด้าน นายวัฒนา รัตนวงศ์ ประธานหอการค้า จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงนั้น ได้เตรียมที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ และวิธีการจ้างแรงงาน เพื่อรับมือกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ หากจะมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขึ้นมาตามที่ได้หาเสียงไว้ โดยให้ผู้จบปริญญาตรีขยับค่าแรงขึ้นมาที่ 1.5 หมื่นบาทจริง ก็จะหันไปจ้างผู้ที่จบการศึกษาในระดับ ปวช.และ ปวส.ที่อยู่นอกเหนือจากนโยบายการประชานิยมในการหาเสียงแทน โดยจะไม่รับแรงงานในระดับปริญญาตรีเข้ามาทำงาน หรือจ้างเฉพาะในตำแหน่งที่จำเป็นเท่านั้น