นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสฝ่ายขาย บริษัทโตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL เปิดเผยว่าในปีนี้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 40% หรือประมาณกว่า 7 พันล้านจากรายได้ในปีก่อนที่มีอยู่ 5.2 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 6% ใกล้เคียงกับปี52 ซึ่งอยู่ 6.4%
เนื่องจากบริษัทยังเน้นเข้ารับงานที่มีคุณภาพและมีอัตรากำไรที่ดี ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากแผนการรับงานในปีก่อน ที่ประสบความสำเร็จในแง่กำไรสุทธิ แม้โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุตจะมีปัญหา โดยเห็นได้จากอัตรากำไรสุทธิที่อยู่ในระดับสูง กว่าช่วง4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณ 3.35%
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือประมาณ 8.8 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 5 พันล้านบาท และที่เหลือรับรู้ในปีต่อไป ขณะเดียวกัน TTCL มีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลงานในช่วงปี 2554- 2555 รวมมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับงานประมูลประมาณ 30% ของมูลค่างานทั้งหมด หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทได้มีการล็อกราคาวัสดุไว้ล่วงหน้าหลังจากที่ได้รับงานไว้แล้ว
ส่วนปัญหาในเรื่องราคาต้นทุนก่อสร้าง ที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันนั้น ทางบริษัทยืนยันว่า นโยบายของ TTCL ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาต้นทุนตลอด ดังนั้นในแต่ละโครงการหากมีความชัดเจนว่าบริษัทจะเป็ฯผู้ดำเนินการแล้ว จะใช้วิธีล็อกราคาวัสดุล่วงหน้าก่อนที่จะมีการเซ็นเอ็มโอยูกับลูกค้าก่อน ซึ่งเรื่องนี้บรรดาลูกค้าของบริษัทต่างยอมรับในขั้นตอนดังกล่าว
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาทในการเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรบิษัทในบังคลาเทศ เพื่อจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนใหม่เพื่อเข้ารับงานบริหารการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 250 เมกะวัตต์ที่รัฐบาลบังคลาเทศเปิดประมูล โดยคาดว่าจะรู้ผลประมูลในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทในช่วง 5 ปีจากนี้ ที่ตั้งเป้าจะเติบโตในต่างประเทศ ด้วยลักษณะการถือหุ้นส่วนในบริษัทร่วมทุนที่เข้าดำเนินการและรับงานรับเหมาโรงไฟฟ้า ระบบประปา ดังกล่าวด้วย
ส่วนการเข้าไปร่วมลงทุนในอิรักหรือประเทศแถบตะวันออกกลางนั้น ขณะนี้ได้ชะลอออกไปก่อน หลังเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและความรุนแรงในตะวันออกกลางและลิเบีย โดยตามแผนบริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศดังกล่าวก่อตั้งบริษัทร่วมทุน โตโยไทย-อิรัก สัดส่วน 49% และ 51% สร้างโรงไฟฟ้าขนาด 200-300 เมกะวัตต์ เมื่อได้รับงานทางบริษัทจะทำหน้าที่ในการออกแบบ และจัดหาเครื่องจักร ขณะที่การก่อสร้างจะยกให้เป็นหน้าที่ของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามบริษัทว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ไม่น่าจะมีระยะเวลานานมากนัก
"ตอนนี้ เรามีงานที่อาบูดาบี ซึ่งเป็นงานรับออกแบบเท่านั้น จึงไม่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นมากนัก "
นอกจากนี้ TTCL จะร่วมมือกับกลุ่มโยชิดะ จากญี่ปุ่น ที่มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ประมาณ7% ในงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีที่อินโดนีเซีย มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าน่าจะรู้ผลประมูลในเดือนเม.ย.นี้
"กลุ่มโยชิดะ จะส่งตัวแทนเข้ามานั่งบอร์ด 1คน ในเดือนเมษายนนี้ แม้ถือหุ้นเพียง 7% แต่เราเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของโยชิดะ ที่มีอยู่ "
สำหรับ บริษัท นวนครการไฟฟ้า ที่บริษัทเข้าถือหุ้น 71% ของทุนจดทะเบียน 1,525 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 110 เมกะวัตต์ มูลค่างาน 4,000 ล้านบาท นั้น TTCL คาดว่าจะรับรู้รายได้ปีจากงานก่อสร้างในปีนี้และปีหน้าปีละ 2,000 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้ในไตรมาส 1/54 และโครงการนี้จะแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 55 ส่วนปีถัดไปบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในรูปเงินปันผล ปีละ 115 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2556 ต่อเนื่องไปเป็นเวลา 25 ปี ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าที่ตกลงไปกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
นอกจากนี้ นวนครการไฟฟ้าเตรียมยื่นประมูลโรงไฟฟ้า ที่จ.ปทุมธานี ในการเปิดประมูลโรงไฟฟ้า SPP รอบ 2 ที่เปิดรับจำนวน 2,000 เมกะวัตต์ คาดจะประกาศผลภายในปีนี้ จึงมีโอกาสที่ TTCL จะได้งานเพิ่มอีก 2 โรงงาน ขนาด 110 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้นด้วย โดยวานนี้ได้มีการเซ็นสัญญาเงินกู้กับ ธนาคารกรุงไทย มูลค่า 4.6 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน TTCL ได้มีความร่วมมมือกับกลุ่มอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเม้นท์ (ITD) ในการเซ็นเอ็มโอยู งานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า และมีความเป็นได้ที่ตจะได้งานเพิ่มเติมจากโครงการนี้ ในส่วนของโรงไฟฟ้าและน้ำมัน
เนื่องจากบริษัทยังเน้นเข้ารับงานที่มีคุณภาพและมีอัตรากำไรที่ดี ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากแผนการรับงานในปีก่อน ที่ประสบความสำเร็จในแง่กำไรสุทธิ แม้โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุตจะมีปัญหา โดยเห็นได้จากอัตรากำไรสุทธิที่อยู่ในระดับสูง กว่าช่วง4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณ 3.35%
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือประมาณ 8.8 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 5 พันล้านบาท และที่เหลือรับรู้ในปีต่อไป ขณะเดียวกัน TTCL มีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลงานในช่วงปี 2554- 2555 รวมมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับงานประมูลประมาณ 30% ของมูลค่างานทั้งหมด หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทได้มีการล็อกราคาวัสดุไว้ล่วงหน้าหลังจากที่ได้รับงานไว้แล้ว
ส่วนปัญหาในเรื่องราคาต้นทุนก่อสร้าง ที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันนั้น ทางบริษัทยืนยันว่า นโยบายของ TTCL ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาต้นทุนตลอด ดังนั้นในแต่ละโครงการหากมีความชัดเจนว่าบริษัทจะเป็ฯผู้ดำเนินการแล้ว จะใช้วิธีล็อกราคาวัสดุล่วงหน้าก่อนที่จะมีการเซ็นเอ็มโอยูกับลูกค้าก่อน ซึ่งเรื่องนี้บรรดาลูกค้าของบริษัทต่างยอมรับในขั้นตอนดังกล่าว
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาทในการเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรบิษัทในบังคลาเทศ เพื่อจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนใหม่เพื่อเข้ารับงานบริหารการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 250 เมกะวัตต์ที่รัฐบาลบังคลาเทศเปิดประมูล โดยคาดว่าจะรู้ผลประมูลในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทในช่วง 5 ปีจากนี้ ที่ตั้งเป้าจะเติบโตในต่างประเทศ ด้วยลักษณะการถือหุ้นส่วนในบริษัทร่วมทุนที่เข้าดำเนินการและรับงานรับเหมาโรงไฟฟ้า ระบบประปา ดังกล่าวด้วย
ส่วนการเข้าไปร่วมลงทุนในอิรักหรือประเทศแถบตะวันออกกลางนั้น ขณะนี้ได้ชะลอออกไปก่อน หลังเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและความรุนแรงในตะวันออกกลางและลิเบีย โดยตามแผนบริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศดังกล่าวก่อตั้งบริษัทร่วมทุน โตโยไทย-อิรัก สัดส่วน 49% และ 51% สร้างโรงไฟฟ้าขนาด 200-300 เมกะวัตต์ เมื่อได้รับงานทางบริษัทจะทำหน้าที่ในการออกแบบ และจัดหาเครื่องจักร ขณะที่การก่อสร้างจะยกให้เป็นหน้าที่ของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามบริษัทว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ไม่น่าจะมีระยะเวลานานมากนัก
"ตอนนี้ เรามีงานที่อาบูดาบี ซึ่งเป็นงานรับออกแบบเท่านั้น จึงไม่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นมากนัก "
นอกจากนี้ TTCL จะร่วมมือกับกลุ่มโยชิดะ จากญี่ปุ่น ที่มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ประมาณ7% ในงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีที่อินโดนีเซีย มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าน่าจะรู้ผลประมูลในเดือนเม.ย.นี้
"กลุ่มโยชิดะ จะส่งตัวแทนเข้ามานั่งบอร์ด 1คน ในเดือนเมษายนนี้ แม้ถือหุ้นเพียง 7% แต่เราเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของโยชิดะ ที่มีอยู่ "
สำหรับ บริษัท นวนครการไฟฟ้า ที่บริษัทเข้าถือหุ้น 71% ของทุนจดทะเบียน 1,525 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 110 เมกะวัตต์ มูลค่างาน 4,000 ล้านบาท นั้น TTCL คาดว่าจะรับรู้รายได้ปีจากงานก่อสร้างในปีนี้และปีหน้าปีละ 2,000 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้ในไตรมาส 1/54 และโครงการนี้จะแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 55 ส่วนปีถัดไปบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในรูปเงินปันผล ปีละ 115 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2556 ต่อเนื่องไปเป็นเวลา 25 ปี ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าที่ตกลงไปกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
นอกจากนี้ นวนครการไฟฟ้าเตรียมยื่นประมูลโรงไฟฟ้า ที่จ.ปทุมธานี ในการเปิดประมูลโรงไฟฟ้า SPP รอบ 2 ที่เปิดรับจำนวน 2,000 เมกะวัตต์ คาดจะประกาศผลภายในปีนี้ จึงมีโอกาสที่ TTCL จะได้งานเพิ่มอีก 2 โรงงาน ขนาด 110 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้นด้วย โดยวานนี้ได้มีการเซ็นสัญญาเงินกู้กับ ธนาคารกรุงไทย มูลค่า 4.6 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน TTCL ได้มีความร่วมมมือกับกลุ่มอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเม้นท์ (ITD) ในการเซ็นเอ็มโอยู งานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า และมีความเป็นได้ที่ตจะได้งานเพิ่มเติมจากโครงการนี้ ในส่วนของโรงไฟฟ้าและน้ำมัน
