เชียงราย - เผยปืนโรงพักพญาเม็งรายหายยก สภ.ร่วม 2 ปี แต่ตำรวจเพิ่งรู้ หลังจับปืนที่ถูกขโมยได้โดยบังเอิญ ตร.เผยรู้แล้วใครซื้อต่อบ้าง บอกรีบนำมาคืนด้วย
กรณีอาวุธปืนในห้องเก็บอาวุธของ สภ.พญาเม็งราย ทั้ง HK-33 จำนวน 4 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 16 กระบอก รวม 20 กระบอก และปัจจุบันตำรวจได้ดำเนินคดีต่อนายนุดุล ราชาภัทร อายุ 45 ปี บ้านเลขที่ 44 หมู่บ้านหนองคำ หมู่ 9 ต.พญาเม็งราย อ.พญาเม็งราย ซึ่งเป็นนักการภารโรงของโรงพักข้อหาลักทรัพย์ในสถานที่ราชการทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนโดยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางเทิงไปแล้วนั้น
ล่าสุดได้มีการเปิดเผยถึงผลการสอบสวนของนายนุดุล ที่น่าสนใจอีกว่า เขาได้เริ่มขโมยปืนจาก สภ.พญาเม็งรายมานานแล้ว ไม่ได้พึ่งก่อเหตุในช่วงที่ถูกจับกุมเมื่อเร็วๆ นี้แต่อย่างใด โดยได้นำกุญแจห้องเก็บอาวุธหรือเรียกว่าห้องศาสตราภัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับห้องศูนย์สื่อสารและควบคุม CCTV บนโรงพัก ไปปั๊มทำลูกกุญแจสำรองขึ้นมา 1 ดอก โดยอาศัยความสนิทคุ้นเคยและไว้วางใจจาก ด.ต.ธนพล วงศ์บุตร เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่จ่ากอง สภ.พญาเม็งราย ซึ่งดูแลห้องศาสตราภัณฑ์อยู่
นายนุดุลให้การว่า ได้อาศัยช่วงผลัดเปลี่ยนเวรยามของตำรวจ เปิดประตูห้องศาสตราภัณฑ์เข้าไปขโมยปืนออกไปเพียง 1 กระบอกตั้งแต่ปี 2552 แล้ว จากนั้นนำไปขายได้ราคากระบอกละ 10,000-20,000 บาท แล้วนำเงินไปใช้ จึงเกิดความย่ามใจ และทำการขโมยเรื่อยมาจนกระทั่งล่าสุดได้ขโมยปืนออกไปเมื่อเดือน เม.ย. 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งปืนหายไปเป็นปืนขนาด HK33 จำนวน 4 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 16 กระบอก รวม 20 กระบอกดังกล่าว
นายนุดุลให้การด้วยว่า แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่ามีปืนหายเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.54 ที่ผ่านมา จึงได้หลบหนีไปทาง จ.พะเยา เพื่อจะซื้อตั๋วรถโดยสารมุ่งหน้าไปยัง จ.ขอนแก่น แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจติดตามจับกุมได้ระหว่างการเดินทางเสียก่อน
ด้าน พ.ต.อ.ดอย วงค์พุ่ม ผกก.สภ.พญาเม็งราย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบว่าปืนหายไปจากห้องศาตราภัณฑ์ เพราะจะมีการเบิกใช้ปืนเฉพาะช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งในพื้นที่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่บ่อยครั้งนัก อาวุธปืนจึงถูกเก็บเอาไว้ในห้อง แต่เมื่อจับกุมผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พยายามหาอาวุธปืนคืน ปัจจุบันได้คืนมาจำนวน 2 กระบอกแล้ว เป็นอาวุธปืนขนาด .38
“ที่เหลืออีก 18 กระบอก คาดว่าจะได้คืนในเร็ววันนี้ เพราะเริ่มทราบบ้างแล้วว่าปืนอยู่กับผู้ใดบ้าง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่จับกุมบุคคลใดได้พร้อมของกลางปืนที่ได้ไปจากนายนุดุล บุคคลนั้นก็จะมีความผิดฐานรับของโจร และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ที่มีไว้เร่งส่งคืนทางราชการ หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-5379-9113 เพื่อเจ้าหน้าที่จะไปรับคืน” พ.ต.อ.ดอย กล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับกรณีอาวุธปืนหายไปจากห้องศาสตราภัณฑ์ สภ.พญาเม็งราย ดังกล่าวถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากได้มีอาวุธปืนหายได้นานแล้ว กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2554 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง ต.แม่จัน อ.แม่จัน บนถนนพหลโยธินสายแม่จัน-เชียงราย ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คนพร้อมอาวุธปืนที่หายไป 1 กระบอก เมื่อตรวจหมายละเบียนปืนพบเป็นของ สภ.พญาเม็งราย จึงได้แจ้งผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ กระทั่งเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.54 ที่ผ่านมา จึงได้มีการไปตรวจสอบที่ สภ.พญาเม็งราย จึงพบวาหายไปกว่า 20 กระบอก ซึ่งช่วงตรวจสอบได้ทำให้นายนุดุล หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมมาได้และเมื่อสอบสวนนายนุดุล จนถึงวันที่ 23 มิ.ย.54 ที่ผ่านมา นายนุดุล จึงยอมรับสารภาพตามข้อหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการเข้าเวรยามได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วโดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบที่ผ่านมา ยังไม่บ่งชี้ว่า เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะมาถึงวันที่ 3 ก.ค.54 นี้แต่อย่างใด
กรณีอาวุธปืนในห้องเก็บอาวุธของ สภ.พญาเม็งราย ทั้ง HK-33 จำนวน 4 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 16 กระบอก รวม 20 กระบอก และปัจจุบันตำรวจได้ดำเนินคดีต่อนายนุดุล ราชาภัทร อายุ 45 ปี บ้านเลขที่ 44 หมู่บ้านหนองคำ หมู่ 9 ต.พญาเม็งราย อ.พญาเม็งราย ซึ่งเป็นนักการภารโรงของโรงพักข้อหาลักทรัพย์ในสถานที่ราชการทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนโดยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางเทิงไปแล้วนั้น
ล่าสุดได้มีการเปิดเผยถึงผลการสอบสวนของนายนุดุล ที่น่าสนใจอีกว่า เขาได้เริ่มขโมยปืนจาก สภ.พญาเม็งรายมานานแล้ว ไม่ได้พึ่งก่อเหตุในช่วงที่ถูกจับกุมเมื่อเร็วๆ นี้แต่อย่างใด โดยได้นำกุญแจห้องเก็บอาวุธหรือเรียกว่าห้องศาสตราภัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับห้องศูนย์สื่อสารและควบคุม CCTV บนโรงพัก ไปปั๊มทำลูกกุญแจสำรองขึ้นมา 1 ดอก โดยอาศัยความสนิทคุ้นเคยและไว้วางใจจาก ด.ต.ธนพล วงศ์บุตร เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่จ่ากอง สภ.พญาเม็งราย ซึ่งดูแลห้องศาสตราภัณฑ์อยู่
นายนุดุลให้การว่า ได้อาศัยช่วงผลัดเปลี่ยนเวรยามของตำรวจ เปิดประตูห้องศาสตราภัณฑ์เข้าไปขโมยปืนออกไปเพียง 1 กระบอกตั้งแต่ปี 2552 แล้ว จากนั้นนำไปขายได้ราคากระบอกละ 10,000-20,000 บาท แล้วนำเงินไปใช้ จึงเกิดความย่ามใจ และทำการขโมยเรื่อยมาจนกระทั่งล่าสุดได้ขโมยปืนออกไปเมื่อเดือน เม.ย. 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งปืนหายไปเป็นปืนขนาด HK33 จำนวน 4 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 16 กระบอก รวม 20 กระบอกดังกล่าว
นายนุดุลให้การด้วยว่า แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่ามีปืนหายเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.54 ที่ผ่านมา จึงได้หลบหนีไปทาง จ.พะเยา เพื่อจะซื้อตั๋วรถโดยสารมุ่งหน้าไปยัง จ.ขอนแก่น แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจติดตามจับกุมได้ระหว่างการเดินทางเสียก่อน
ด้าน พ.ต.อ.ดอย วงค์พุ่ม ผกก.สภ.พญาเม็งราย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบว่าปืนหายไปจากห้องศาตราภัณฑ์ เพราะจะมีการเบิกใช้ปืนเฉพาะช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งในพื้นที่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่บ่อยครั้งนัก อาวุธปืนจึงถูกเก็บเอาไว้ในห้อง แต่เมื่อจับกุมผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พยายามหาอาวุธปืนคืน ปัจจุบันได้คืนมาจำนวน 2 กระบอกแล้ว เป็นอาวุธปืนขนาด .38
“ที่เหลืออีก 18 กระบอก คาดว่าจะได้คืนในเร็ววันนี้ เพราะเริ่มทราบบ้างแล้วว่าปืนอยู่กับผู้ใดบ้าง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่จับกุมบุคคลใดได้พร้อมของกลางปืนที่ได้ไปจากนายนุดุล บุคคลนั้นก็จะมีความผิดฐานรับของโจร และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ที่มีไว้เร่งส่งคืนทางราชการ หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-5379-9113 เพื่อเจ้าหน้าที่จะไปรับคืน” พ.ต.อ.ดอย กล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับกรณีอาวุธปืนหายไปจากห้องศาสตราภัณฑ์ สภ.พญาเม็งราย ดังกล่าวถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากได้มีอาวุธปืนหายได้นานแล้ว กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2554 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง ต.แม่จัน อ.แม่จัน บนถนนพหลโยธินสายแม่จัน-เชียงราย ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คนพร้อมอาวุธปืนที่หายไป 1 กระบอก เมื่อตรวจหมายละเบียนปืนพบเป็นของ สภ.พญาเม็งราย จึงได้แจ้งผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ กระทั่งเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.54 ที่ผ่านมา จึงได้มีการไปตรวจสอบที่ สภ.พญาเม็งราย จึงพบวาหายไปกว่า 20 กระบอก ซึ่งช่วงตรวจสอบได้ทำให้นายนุดุล หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมมาได้และเมื่อสอบสวนนายนุดุล จนถึงวันที่ 23 มิ.ย.54 ที่ผ่านมา นายนุดุล จึงยอมรับสารภาพตามข้อหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการเข้าเวรยามได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วโดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบที่ผ่านมา ยังไม่บ่งชี้ว่า เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะมาถึงวันที่ 3 ก.ค.54 นี้แต่อย่างใด
