ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “โฆษก ทภ. 2” โต้เขมร กองทัพไทยไม่เคยมีอาวุธก๊าซพิษไว้ใช้ คาดเข้าใจผิด เหตุไทยยิงกระสุนควันเตือน 2-3 ลูก ก่อนยิงกระสุนจริงตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ เผย วันนี้การสู้รบจำกัดอยู่ในวงแคบ “ตาเมือนธม” แฉ ฝ่ายเขมรนำครอบครัวมาอยู่ในหน่วยทหารใช้เด็กผู้หญิงเป็นโล่มนุษย์กำบัง ทำให้ทหารไทยทำงานลำบาก ยันตรวจสอบทุกครั้งก่อนยิง ไม่ยิงเป้าหมาย ปชช.กัมพูชาแน่นอน
วันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 16.30 น.ที่โรงแรมเฮอมิเทจ รีสอร์ท อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) กล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ว่า ตั้งแต่เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น.ได้มีการปะทะกันขึ้นอีกประปราย โดยวันนี้เริ่มที่ปราสาทตาเมือนธม และยังไม่ขยายพื้นที่ไปถึงปราสาทตาควาย
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์การสู้รบในวันนี้ หากเทียบกับ 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าไม่หนักและรุนแรงเท่าที่ผ่านมา แต่ยังคงมีการยิงกระสุนเข้ามาประปราย ขณะเดียวกัน ในช่วงที่มีการปะทะกันผู้นำทหารระดับพื้นที่ ก็มีการติดต่อพูดคุยกันทางโทรศัพท์กับฝ่ายกัมพูชาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนโยบายผู้บัญชาการทหารบกและรัฐบาล รวมถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ต้องการไม่ให้การปะทะกันขยายวงกว้างออกไป อยากให้อยู่ในขอบเขตเล็กๆ เนื่องจากหากขยายวงกว้างออกไปแล้ว ประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้รับความเดือดร้อน และเกิดการสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ทางผู้บังคับบัญชาฝ่ายไทยก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงให้จำกัดวงสู้รบไว้เพียงเท่านี้ และมาถึงตอนนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 มีความมั่นใจว่าจะปกป้องอธิปไตยของเราเอาไว้ได้
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า เรื่องความสูญเสีย ทั้งการบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ไม่อยากให้สื่อมองประเด็นนี้เป็นประเด็นหลัก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะหากมีการนำเสนอข่าวออกไป ประชาชน หรือกำลังทหารฝ่ายกัมพูชา หรือของไทยเรา อาจทำให้เกิดความไม่พอใจได้ แต่ยืนยันว่า กองทัพจะให้การดูแลช่วยเหลือกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างเต็มที่ และมาถึงตอนนี้ขวัญกำลังใจทหารไทยทุกนายยังดีเยี่ยม พร้อมปกป้องอธิปไตยของไทยไว้อย่างเต็มความสามารถ
ส่วนประชาชนที่ได้รับผลกระทบนั้น ได้มีการอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน จำนวนกว่า 2.7 หมื่นคน อยู่ห่างจากจากแนวชายแดนในรัศมีไกลกว่า 30 กิโลเมตร ช่วงแรกประชาชนอาจมีความตกใจกับเหตุการณ์บ้าง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำความเข้าใจ ประชาชนก็มีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้น และขณะนี้ทางกองทัพได้ส่งรถครัวสนาม และส่งเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือดูแลสุขภาพประชาชน และยังมีชุด ปจว. ปชส.ลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนเพื่อบอกข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น และป้องกันข่าวลือที่อาจเกิดขึ้นในศูนย์อพยพ
ขณะเดียวกัน ในการดูแลทรัพย์สินและบ้านเรือนราษฎร นั้น ได้มีการประสานกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.), ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และเจ้าหน้าที่กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 เข้าไปสำรวจความเสียหาย และดูแลการรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดการลักขโมยสิ่งของชาวบ้าน
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชา ออกมาระบุว่า ฝ่ายไทยยิงกระสุนปืนบรรจุก๊าซพิษเข้าใส่นั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ได้รับทราบจากข่าวเช่นกัน ซึ่งไม่ทราบว่าฝ่ายกัมพูชามีเจตนาอะไร จึงพูดเช่นนั้น หรืออาจมีเจตนาพูดให้ฝ่ายไทยเราเสียหาย หรือเป็นความเข้าใจผิด และเรื่องนี้ขอยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่เคยมีการยิงปืนบรรจุก๊าซพิษเข้าไปแน่นอน และอาวุธประเภทสารเคมีเราไม่เคยปฏิบัติ และไม่มีในกองทัพบก
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ เนื่องจากว่าเมื่อฝ่ายทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่เข้ามายังฝั่งไทยก่อน การตอบโต้ของฝ่ายเราก่อนที่จะใช้กระสุนจริง เราจะใช้กระสุนควันยิงเตือนไปอย่างน้อย 2-3 ลูก เพื่อยิงเตือนไปว่า ทางฝ่ายกัมพูชาได้ยิงเข้ามายังฝั่งไทยแล้ว และขอให้หยุดยิง ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อมีการสู้รบกันเราจะยิงเตือนไปทุกครั้งก่อนที่จะยิงกระสุนจริงออกไป
ส่วนนี้อาจทำให้ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจผิดได้ และคิดไปเองว่า เป็นกระสุนก๊าซพิษ ขอยืนยันว่าอาวุธพวกนี้กองทัพไม่มีใช้ และกระสุนควันเหล่านี้ไม่ได้มีพิษร้ายแรงและไม่เป็นภัยอะไร เพียงแต่แสบตาเล็กน้อยเหมือนควันไฟทั่วไป
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาใช้โล่มนุษย์ทั้งเด็กและผู้หญิง เป็นกำบังนั้น ยอมรับว่า ทำให้ทหารไทยทำงานลำบาก แต่ที่หมายหรือเป้าหมายนั้นเราจะจำกัดขอบเขตเฉพาะจุดที่กำลังทหารอยู่เท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชา ซึ่งเราพยายามใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ และคำนึงถึงเรื่องนี้ตลอด โดยก่อนยิงออกไปต้องมีการตรวจสอบก่อนทุกครั้ง
“รูปแบบการใช้โล่มนุษย์เป็นกำบังนั้น คือ ฝ่ายกัมพูชามักจะนำครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัยกับที่ตั้งของหน่วยทหาร ทำให้ไทยเราทำงานยากลำบากมากยิ่งขึ้น แต่ที่ผ่านมา พื้นที่เป้าหมายที่ยิงออกไปทั้งจุดบริเวณปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ยังไม่พบมีพลเรือนอาศัยอยู่แต่อย่างใด” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว