ศูนย์ข่าวศรีราชา -กลุ่มนักอนุรักษ์และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว แฉโครงการรัฐตัวการใหญ่ทำให้ทัศนียภาพทางทะเลภาคตะวันออกเสียหายมหาศาล
นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวถึงปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดในพื้นที่ภาคตะวันออกว่า ปัญหาดังกล่าวเริ่มรุนแรงและต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยเริ่มมีการถมทะเล เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือ รวมทั้งการขุดลอกร่องน้ำ ซึ่งโครงการดังกล่าว ล้วนแต่มีผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลจังหวัดระยอง กว่า 20 กิโลเมตรตั้งแต่บ้านเพ - บ้านฉาง ถูกน้ำทะเลกัดเซาะ เสียหายตลอดชายหาด
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของภาครัฐที่ ทุ่มงบกว่า 2000 ล้านบาท ในการทำเขื่อนกันคลื่น ซึ่งเป็นการบดบังทัศนียภาพของหาดทราย ที่ในอดีต เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่สวยงาม โดยเฉพาะหาดแสงจันทร์ ซึ่งในอดีต สวยงาม มากหาดทรายขาวสะอาด เป็นจุดขายด้าน การท่องเที่ยวของจังหวัดระยอง แต่ในปัจจุบัน หาดแสงจันทร์ ไม่หลงเหลือความสวยงามดังกล่าวแล้ว มีเพียงก้อนหินที่นำมาเรียงต่อ ๆ กัน ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่ในอดีตชาวบ้านเคยประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ก็ไม่สมารถทำได้แล้ว
ส่วนทางด้านชลบุรีที่พัทยาจะเห็นชัดเจนที่สุดก็เป็นปัญหาเดียวกัน โครงการก่อสร้างท่าเรือ ถมทะเล และการขุดลอกร่องน้ำ ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางการไหล จึงเกิดการกัดเซาะดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ภาคควรที่จะลงมาดูอย่างจริง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากนโยบายรัฐ ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไป
ด้านนายวัฒนา พหลแพทย์ ผู้ประกอบการ ริมหาดแสงจันทร์ จังหวัดระยอง กล่าวว่า ตนเข้ามาลงทุนสร้างรีสอร์ท เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อน ริมชายหาดแสงจันทร์ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2542-2543 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงาม และทำทะเลที่ใสสะอาด มีความเป็นธรรมชาติที่สวยงามมาก
แต่ต่อมาเมื่อมีการขยายโรงงานอุตสาหกรรมบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งมีการถมทะเลก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือ ทำให้ระบบการไหลเวียนของน้ำทะเลเปลี่ยนทิศทาง และเริ่มกัดเซาะชายหาดอย่างต่อเนื่อง ความสวยงามของ ชายหาด บริเวณชายหาดสุชาดา ชายหาดแสงจันทร์ เริ่มหายไป เนื่องจากชายหาดไม่สามารถเล่นน้ำได้ ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มไม่เข้ามาพักผ่อน
นายวัฒนา กล่าวต่อไปว่า ต่อมาหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้มีแนวทางจะเข้ามาแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเล โดยนำหินขนาดใหญ่มาทำแนวกัน ทำเป็นแนวกันคลื่น ป้องกัน การกัดเซาะ หรือไม่ต้องการให้น้ำทะเลซัดเข้าสู่ชายหาดที่รุนแรง ตลอดระยะทางหลาย 10 กิโลเมตร ห่างจากชายฝั่งประมาณ 10-20 เมตร เท่านั้น ยิ่งสร้างผลกระทบต่อทัศนียภาพชานทะเลอย่างรุนแรง เพราะแนวหินดังกล่าว ดูไม่สวยงามและเหมาะสมที่จะมาตั้งอยู่บริเวณริมชายหาด
ปัญหาเริ่มส่งผลกระทบรุนแรงธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เพราะจากเคยมีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อน และมีผู้เช่าพักอาศัย ก็เลิกเช่า และไม่มาพักผ่อน ทำให้รีสอร์ทต้องเลิกกิจการไป เนื่องจากการทำงานของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่เคยสำรวจตรวจสอบถึงระบบและปัญหาที่เกิดการกัดเซาะ ที่สำคัญแนวกันชนที่ทำขึ้นมาไม่ถูกต้องและเหมาะสม ทั้งๆที่หากการศึกษาที่ดีกว่านี้ปัญหาต่างๆ ก็คงไม่เกินขึ้น จนถึงขั้นวิกฤตดังกล่าว
“ขณะนี้ต้องยอมรับสภาพที่เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ โดยเฉพาะ รีสอร์ท ที่ใช้เงินลงทุนไปกว่า 20 ล้านบาท แต่ต้องปิดตัวอย่างถาวร ซึ่งถือว่าเป็นความโชคร้ายของประชาชน ทีต้องมารับกรรมจากการกระทำของผู้มีอำนาจ และไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป โดยได้แต่ยืนมองต่อกับปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น” นายวัฒนา กล่าว