ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “สมเกียรติ” แกนนำพันธมิตรฯ ชี้ปีเสือดุ “ระบอบทักษิณ” ปัจจัยครบทุกองค์ประกอบพร้อมเปิดแนวรบรุกครั้งใหญ่และออกอาวุธเต็มพิกัด ก่อ“สงครามประชาชน” โดยยังดำรงเป้าหมายเดิมคือโค่นอำนาจรัฐเก่า “สถาปนารัฐไทยใหม่” เปลี่ยนรูปรัฐ-เปลี่ยนสถาบันหลักของชาติ ชี้อำนาจรัฐโดยเฉพาะกองทัพและศาลสามารถหยุดยั้งได้ หากรัฐบาล-สภาความมั่นคงแห่งชาติ-ก.ต่างประเทศ ร่วมออกแบบวางยุทธวิธีให้ดีและทันการณ์
วันนี้ (4 ม.ค.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) วิเคราะห์สถานการณ์ในรอบปี 2552 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปว่า ระบอบทักษิณได้เลือกใช้ยุทธวิธีในการเปิดศึก 3 ระดับ คือ หนึ่งระดับอำนาจรัฐไทยที่พวกเขาเรียกรวม ๆ ว่า “กลุ่มอำมาตย์” โดยมีฐานสำคัญ คือ ศาล และกองทัพ ระบอบทักษิณเลือกใช้ยุทธวิธีโลกล้อมประเทศในการโจมตีสถาบันสูงสุด, องคมนตรี และกระบวนการยุติธรรมของไทย หน่วยรบก็คือ “แดงสยาม” ของ ใจ อึ๊งภากรณ์, จักรภพ เพ็ญแข สถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่น การสื่อสารโดยตรงกับมวลชนพื้นฐานของ ทักษิณ ชินวัตร ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ นิตยสารและหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ค้ำจุนระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ การสื่อสารระดับโลกที่ไร้ผลและส่งผลที่เสียหายให้กับพวกเขามากที่สุด คือ การให้สัมภาษณ์ไทม์ออนไลน์ ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552, การเดินขบวนของแดงฎีกาเพื่อกดดันนิรโทษกรรมในช่วงที่พระองค์ทรงพระประชวร และการผนึกกำลังให้เป็นขบวนการอันหนึ่งอันเดียวกันกับ “ฮุนเซน” ผู้นำเผด็จการปล้นประเทศของกัมพูชา
ระดับสอง คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ และผู้ทรยศ (พรรคภูมิใจไทย) และระดับสาม คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งระบอบทักษิณใช้วิธีการหลักคือ การกดดันแก้ไขรัฐธรรมนูญและกลับลำถอนตัวไม่แก้ไขเพื่อให้รัฐบาลอภิสิทธิ์และผู้ทรยศเผชิญหน้ากับพันธมิตรฯและประชาชน เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนชั้นกลางต้องออกมาต้านและถึงอย่างไรก็ไม่ผ่านประชามติอยู่แล้ว รวมทั้งการเปิดเกมป่วนนับองค์ประชุมในสภา, การเปิดโปงคอร์รัปชัน และการต่อต้านนายกรัฐมนตรี ซึ่งไปตรวจราชการตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ และ อุดรธานี
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ปี 2552 ทั้งปี ระบอบทักษิณได้ใช้ยุทธวิธีลดระดับความขัดแย้ง กับกลุ่มพันธมิตรฯลงอย่างเห็นได้ชัด บางกรณีกลับประกาศสนับสนุนด้วยซ้ำไป เช่น การตั้งพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) การต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การเปิดโปงคอร์รัปชัน ประเด็นนี้อธิบายได้ว่า ในทฤษฎีฝ่ายซ้ายว่าด้วยสงครามประชาชนโค่นล้มอำนาจรัฐเก่า จะต้องกำหนดศัตรูให้ชัดเจนและสร้างขยายแนวร่วมให้มากที่สุด ระบอบทักษิณไม่ต้องการเป็นศัตรูโดยตรงกับพันธมิตรฯ แต่กำหนดศัตรูหนึ่งเดียวไว้แล้วคือ “โค่นอำมาตย์” โดยไม่ต้องการสร้างศัตรูให้มากขึ้นจนยากต่อการเผด็จศึก แต่ควรหันมาทอนกำลังส่วนที่แข็งแรงที่สุดของกลุ่มอำมาตย์ คือ ศาลและกองทัพจะได้ผลกว่า
ดังนั้น ในปลายปี 2552 ทักษิณและฮุนเซน จึงได้ประสานเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์-กษิต (นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) และร่วมโจมตีศาลไทยอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเพื่อตีวัวกระทบคราดเพราะศาลกระทำในพระปรมาภิไธย และ ละครโจ๊กถากถางกรณีนิรโทษกรรมสายลับศิวรักษ์ของไทย เรียกว่าตีทั้งศาลตีทั้งสถาบันหลักไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อโจมตีสถาบันหลักและศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คงเหลือระบบกีดขวางเพียงหน่วยเดียวคือ กองทัพ ระบอบทักษิณจึงใช้ยุทธิวิธีทำให้ทหารไม่เป็นเอกภาพ แยกเป็นเสี่ยงเพื่อให้อ่อนกำลังลงและไร้เกียรติภูมิ ด้วยการสร้างกระแสไหลเข้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยอดีตนายทหารผู้นำประเทศ ทหารอันธพาล จากเตรียมทหารรุ่น 10 จาก จปร.7 และศูนย์สงครามพิเศษบางคน และหน่วยรบกล้าตายกลุ่มทหารพราน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อธิบายไม่ได้เลยว่าระบอบทักษิณต้องการแค่การยุบสภาและลงการเลือกตั้งใหม่ แต่ต้องสูงกว่านั้นอย่างแน่นอน
นายสมเกียรติวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในปี 2553 ว่า เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งว่าช่วงปลายปี 2552 เจ้าของระบอบทักษิณคือตัว ทักษิณ ชินวัตร มีคำสั่งให้เพิ่มหน่วยรบขึ้นมาอีก 4 หน่วย จากเดิมที่มีเพียงกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และ องค์กรแนวร่วม ซึ่งวางแผนโดย อดีตสหายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) คือ 1.โรงเรียนการเมืองการทหาร 2.กลุ่มทหารชราภาพอันธพาล 3.กลุ่มทหารพรานภายใต้ “เสธ.อันธพาล” และ 4.กลุ่มทหารรับจ้างไร้สัญชาติที่นำเข้าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
“ทั้งหมดนี้วิเคราะห์เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกเสียจากการออกแบบเพื่อการรบ เปิดสงครามชายแดน สงครามขนาดย่อยและสงครามกลางเมือง หรือสงครามประชาชน เรียกได้ว่า องค์ประกอบและปัจจัยโค่นอำมาตย์ครบ รออย่างเดียวคือคำสั่งจากเจ้าของระบอบในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดแนวรบรุกครั้งใหญ่และออกอาวุธเต็มพิกัดโดยยังดำรงเป้าหมายเดิมคือ โค่นอำนาจรัฐเก่า สถาปนารัฐไทยใหม่ เปลี่ยนรูปรัฐและเปลี่ยนสถาบันหลักของชาติ” นายสมเกียรติกล่าว และว่า
ในส่วนรัฐสภาจะยังคงเป็นหน่วยผลิตปัญหาให้ชาติ ขณะที่รัฐบาลเองแม้จะมีความตั้งใจแต่ไม่แตกต่างจากเดิมนักโดยเฉพาะความชุกชุมด้วยคอร์รัปชัน และการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็เพื่อขยายปัญหานำไปสู่ความรุนแรงและพบจุดจบอันโหดร้ายเร็วขึ้น
นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า วิธีแก้ปัญหาตรงที่สุดคือการขจัดเหตุแห่งปัญหาระยะกลาง คือ ตัวระบอบทุนสามานย์ และการเข้าสู่อำนาจในรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีด้วยการทุ่มทุนสามานย์ซื้อทั้ง 4 ปัจจัย คือ ซื้อตัวผู้สมัคร ซื้อเสียงจากประชาชน ซื้อพรรคการเมืองทั้งพรรค และซื้อศาล ซึ่งทางแก้คือ ต้องช่วยกันมองให้ไกลกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเล็กน้อยๆ เพื่อประโยชน์นักการเมืองฝ่ายเดียว แต่ควรดำเนินการปฏิรูปการเมืองอย่างถ้วนทั่วโดยให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
ส่วนปัญหาระยะเฉพาะหน้า 1-3 ปีข้างหน้านี้สำหรับภัยสงครามจากระบอบทักษิณ นั้นหากกองทัพและศาลทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเชื่อว่าจะหยุดยั้งได้ แผนปฏิบัติการแห่งชาตินี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาล สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศร่วมออกแบบวางยุทธวิธีให้ดีและทันกาล หากมิเช่นนั้นแล้วก็อาจจะเกิดปรากฏการณ์พันธมิตรฯรอบที่สองอีกก็เป็นได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้นำคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งสหรัฐอเมริกา-แคนาดา นำโดย คุณอาร์ท บุญมา คุณสุมาลี รัตนาวานิช และคณะ ร่วมแจกผ้าห่มกันหนาวจำนวน 600 ผืน และ ปุ๋ยอินทรีย์ เอเอสทีวี ASTV ขวัญดิน จำนวน 500 ถุง แด่พี่น้องประชาชนชาวอำเภอด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สายนาวัง จ.กาฬสินธุ์ ของ นายบำรุง คะโยธา นายกอบต.สายนาวัง