ศูนย์ข่าวศรีราชา - เวทีเมืองจันท์สุดอลังการ กลุ่มพันธมิตรฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ร่วมงาน” ประชาภิวัฒน์ เพื่อชาติ และราชบัลลังก์ “กว่า 13,000 คนโดยมีแกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีปราศรัย ส่วนใหญ่เน้นจับตาการบริหารงาน “มาร์ค 1” หากไม่เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวังไว้ หรือไม่ชัดเจน พันธมิตรฯก็พร้อมเคลื่อนพลขับไล่อย่างแน่นอน
คืนวันที่ 22 ธ.ค.51 ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจันทบุรี - ตราด ได้ร่วมกันจัดเวทีพันธมิตรฯ “ประชาภิวัฒน์ เพื่อชาติ และราชบัลลังก์ รวมพลังสร้าง การเมืองใหม่”บริเวณสนามหญ้าตรงข้ามที่ทำการหอการค้าจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือว่าเป็นการจัดเวทีพันธมิตรฯเลียนแบบเวทีกลาง ที่กรุงเทพฯ โดยมีเวทีขนาดใหญ่ จัดวางเก้าอี้บนลานกว้างจำนวน 3,000 ตัว พร้อมเว้นพื้นที่ใกล้เวที ปูผ้าเพื่อให้พันธมิตรฯนั่งฟังใกล้ชิดเวที ส่วนพื้นที่รอบๆข้างทั้ง 2 ฝั่ง จัดเต็นท์อาหาร-ขนมหวาน ที่มีชื่อเสียงของเมืองจันท์ ให้ประชาชนและกลุ่มพันธมิตรฯได้รับประทานอย่างจุใจ
เวทีนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคตะวันออกที่จัดขึ้น โดยมีพันธมิตรฯจากพื้นที่ภาคตะวันออกหลั่งไหลเข้าร่วมงานตั้งแต่ 16.30 น. และหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง จนเวลาล่วงเลยไปถึงประมาณ 19.30 น. มีพันธมิตรฯเข้าร่วมงานประมาณ5,000 คน และเมื่อใกล้ถึงเวลาแกนนำพันธมิตรฯเดินทางมาถึง เริ่มมีประชาชนเข้ามากกว่า 12,000 คน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวดูแคบลงทันที
เวทีเริ่มเปิดในช่วง 16.30 น. มีนักดนตรีขึ้นร้องเพลง เพื่อสร้างบรรยากาศและเรียกกลุ่มพันธมิตรฯเข้าสู่เวที โดยพันธมิตรฯคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่เวที คือ นายไทกร พลสุวรรณ ได้กล่าวถึง นายเนวิน ชิดชอบ ที่เคยร่วมคณะรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย โดยที่ผ่านมาได้เคยร่วมงานกับใครก็หักหลังเขามาทั้งสิ้น จากนั้นก็มาถึงยุคนายบรรหาร ศิลปอาชา นายเนวิน ชิดชอบ ที่ในช่วงนั้นอยู่ กลุ่ม 16 เข้ามาดำเนินการโครงการ ส.ป.ก.4-01 และเกิดปัญหาก็ย้ายขั้วจากนายบรรหาร ซึ่งล่าสุดก็เข้ามาอยู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ปัญหาการหักหลังในคดีที่ผ่านมาก็คงจะเกิดกับอภิสิทธิ์ในอนาคตอย่างแน่นอน
หญิงเหล็กเมืองจันท์ปลุกกระแสเรียกร้องให้สู้ต่อ
หลังจากนายไทกรขึ้นเวทีปราศรัยเรียบร้อย ได้สลับให้พันธมิตรฯ ในพื้นที่ขึ้นปราศรัยถึงบ้าง ถึงประสบการณ์ในการชุมนุม โดยพี่นุช พันธมิตรฯ จันทบุรี ที่เดินทางเข้าไปร่วมชุมนุมในกทม.กล่าวว่า แม้ครอบครัวจะคัดค้าน แต่ก็ทนต่อสถานการณ์และเหตุการณ์ที่รัฐบาลได้สั่งให้สลายการชุมนุม หลังจากได้รับฟังข่าวในช่วงเช้า ทนไม่ไหวจึงรีบเดินทางเข้า กทม.ในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ต.ค.51 ที่มีการยิงแก๊สน้ำตา และตนก็เข้าไปในช่วงนั้นพอดีจนเกิดผลกระทบต่อตนเอง เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการสลายในครั้งนั้น ทำให้ตาข้างซ้ายบอดสนิท ส่วนตาข้างขวานั้นยังอยู่ระหว่างการรักษา แต่แพทย์ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าจะหาย 100% หรือไม่ เพราะขณะนี้ตนมองเห็นเพียงเลือนiางเท่านั้น แต่ตนก็ไม่ย่อท้อและพร้อมจะเข้าไปต่อสู้อีก พร้อมปลุกพลังพันธมิตรฯ ให้ต่อสู้ต่อไป
ด้าน นายพิเชฐ พัฒนโชติ แกนนำจากส่วนกลางขึ้นเวทีกล่าวถึงความซาบซึ้งของหญิงเหล็กจังหวัดจันทบุรี ที่เข้าไปร่วมชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ย่อท้อและพร้อมต่อสู้ต่อไป ที่สำคัญยังเรียกร้องให้พันธมิตรฯในพื้นที่ต่างๆ ร่วมกัoปกป้องประเทศชาติต่อไป ทำให้ตนจะต้องออกมาเรียกร้องและทวงถาม รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้สูญเสียอวัยวะ และผู้สูญเสียชีวิต ที่มีเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลชุดนี้จะต้องติดตามผู้ที่สั่งการมาลงโทษให้ได้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นส่วนหนึ่งในการสั่งการครั้งนี้ ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มพันธมิตรฯจะเฝ้าติดตามทวงถามตลอดไป
นายพิเชฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกระแสจากคนในพพรรคเพื่อไทยว่า นายทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาในช่วงวันที่ 25 ธันวาคมนี้ ซึ่งเรื่องนี้ขอให้กลับมาจริงๆ เพราะประชาชนทั่วประเทศรออยู่ และพร้อมจะให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ปลุกกระแสให้รวมพลัง-ยืนหยัดช่วย ASTV ไม่ให้จอดำ
นายอธิวัฒน์ บุญชาติ กล่าวว่า การรวมกลุ่มของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น สาเหตุเนื่องมาจากระบอบทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำต่อประเทศชาติมาโดยตลอด โดยเริ่มจากการขายชาติ ยกเขาพระวิหารให้แก่เขมร ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 นอกจากนั้นระบอบทักษิณ ยังมีการแต่งตั้งโยกย้ายกลุ่มพวกฟ้องของตนเองให้เป็นใหญ่ เพื่อระบอบทักษิณ
การเรียกร้องความถูกต้องให้แก่ประเทศชาติของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีต่างๆ นานา เช่น กรณีไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มพันธมิตรฯ ไปยึดแต่ไม่ได้ปิด โดยผู้บริหารท่าอากาศยานฯสั่งปิดและปิดการขึ้นลงเครื่องบินเอง โดยที่ไปยึดสนามบิน เพื่อไม่ต้องการให้คนชั่วหนีออกนอกประเทศเท่านั้น
การต่อสู้ของพันธมิตรฯ มีการต่อสู้ตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์-3 ธันวาคม ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ต่อแผ่นดินและประเทศชาติ และขอให้กระทำต่อไปจนกว่าจะได้รูปแบบการเมืองใหม่ หรือ กลุ่มคนชั่วหมดไป เมื่อถึงเวลานั้นก็จะยุติอย่างแน่นอน
นายอธิวัฒน์ กล่าวย้ำว่า รายการ ASTV เป็นสถานีที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพราะรายงานเรื่องราวที่เป็นจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ดังนั้นขอให้พันธมิตรฯช่วยกันรักษา ASTVอย่าให้จอดำอย่างเด็ดขาด
จากนั้น 2 แกนนำ คือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ขึ้นเวทีปิดท้าย โดยนายสมศักดิ์ โดยกล่าวถึงการเปลี่ยนขั้วการเมืองครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นเพราะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รวมตัวกดดันการบริหารงานของรัฐบาล ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับนายเนวิน ชิดชอบ ที่นำส.ส.เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล
แม้การเปลี่ยนขั้วการเมืองในครั้งนี้ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศ แต่หากการบริหารงานไม่เป็นไปตามที่พูดไว้กับประชาชน และยังจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ก็คงจะมีปัญหากับกลุ่มพันธมิตรฯอย่างแน่นอน ดังนั้น การบริหารงานจึงไม่ควรไปยึดติดกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะนายเนวิน ชิดชอบ (ยี้ห้อย) ที่เข้าไปกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม ซึ่งไม่งดงามและขี้เหร่ ไม่เช่นนั้น กลุ่มพันธมิตรฯโดยเฉพาะภาคตะวันออกคงต้องออกไปกดดัน เพราะการเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง ก็ถึงกทม.แล้ว
ด้าน นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา เพื่อต้องการขับไล่รัฐบาล ทรราช ฆาตกร และสามารถขับไล่รัฐบาลดังกล่าวออกไปได้ แต่การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับถูกหน่วยงานฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย กรณีพันธมิตรฯไปปิดสนามบิน โดยถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ทำเพื่อประเทศชาติ
หลังจากรัฐบาลชุดที่แล้วถูกขับไล่ และได้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารแทน แต่อย่างไรก็ตามหากพรรคประชาธิปัตย์ทำผิด ก็ต้องถูกขับไล่เช่นกัน ซึ่งในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเห็นความสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้นกลุ่มพันธมิตรฯก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญและสนใจแต่อย่างไร เพราะคนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ทางพรรคไม่เคยกล่าวถึง
แกนนำจันทบุรีปลุกกระแสกดดันรัฐบาล มาร์ค 1
ด้าน นายสุวิชาณ สุวรรณนาคะ แกนนำพันธมิตรฯจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มพันธมิตรฯ จันท์-ตราด ได้ล่ารายชื่อเพื่อยื่นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อยึดพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเป็นนักโทษ ดังนั้นไม่ควรให้ถือพาสปอร์ตของประเทศไทยต่อไป
สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ ภาคตะวันออก โดยเฉพาะ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่รวมตัวกันเหนียวแน่น และเข้าไปเป็นแกนหลักในการชุมนุมเรียกร้องที่ผ่านมา จึงขอให้ยึดมั่นกันไว้เช่นนี้ตลอดไป และอย่าทะเลาะกัน โดยจะทำสิ่งใดขอให้ทำเพื่อส่วนรวม แต่อย่าทำเพื่อตัวเอง