เชียงราย – ชาวนาเมืองพ่อขุนฯ โวยซ้ำ ส่งตัวแทนขึ้นศาลากลางทวงค่าจำนำข้าวนาปรังที่โรงสีสิริภิญโญยังค้างชำระอีกกว่า 25 ล้านบาท อยู่จนถึงวันนี้อีกครั้ง หวัง ครม.มีมติช่วยเหลือภายในวันพรุ่งนี้ พร้อมวอนเพิ่มจุดรับจำนำข้าวนาปีให้ทั่วถึงทั้งจังหวัด หลังพบบ้านเกิดนักการเมืองใหญ่ พปช.-เพื่อไทย มีจุดรับจำนำข้าวมากถึง 4 ใน 10 จุด
รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า วันนี้ (18 พ.ย.) ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจาก 18 อำเภอของ จ.เชียงราย ประมาณ 50 คนนำโดยนายบุญแต่ง ธรรมสาร แกนนำจาก อ.แม่สาย, นายอำพล เวียงสืบนา จาก อ.พาน และนายจิรายุ เผ่ากา สมาชิก อบจ.เขต อ.พาน ได้รวมตัวกันที่ศาลากลางเชียงราย เพื่อขอให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเงินคงค้างจากการขายข้าวนาปรังที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาข้าวนาปีที่เกษตรกรกำลังอยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยว โดยกลุ่มเกษตรกรได้ยื่นหนังสือผ่านนายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง ผู้ว่าราชการจังหวัด.เชียงราย เพื่อส่งไปยังคณะมนตรี ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย.)
โดยเนื้อหาหนังสือระบุให้รัฐบาลเร่งรัดให้โรงสีสิริภิญโญ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทำข้อตกลงรับซื้อข้าวนาปรังจากชาวนาแต่ยังจ่ายเงินไม่ครบให้ทำการจ่ายให้ครบภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันประชุมคณะมนตรีดังกล่าว และขอให้เพิ่มจุดรับจำนำข้าวนาปีให้ครบทุกอำเภอ รวมทั้งขอให้โรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการจำนำข้าวนาปีใหม่ช่วยจ่ายเงินให้ตามข้อตกลง อย่าให้มีปัญหาเหมือนกรณีข้าวนาปรังอีก
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้เปิดเพลงโศกที่ใช้ในงานศพเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าชาวนากำลังเดือดร้อนอย่างหนักจนเสียงดังไปทั่วศาลากลางจังหวัด
นายบุญแต่ง กล่าวว่า ชาวนาในเชียงราย ยังไม่ได้รับเงินค่าขายข้าวนาปรังจากโรงสีสิริภิญโญรวมกันกว่า 517 คนจำนวนข้าว 3,273,784 กิโลกรัม เป็นเงิน 25,850,743 บาท โดยมีมากที่สุดในเขต อ.พาน จำนวน 215 ราย เป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท และได้รับทราบว่าคณะรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้เข้าหารือจึงหวังจะได้รับการช่วยเหลือเพราะหนี้สินก็ล้นพ้นตัวกันหมดแล้ว นอกจากนี้ระหว่างที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปีก็ไม่อยากมีปัญหาซ้ำเติมเข้าไปอีก
ทั้งนี้ หลังแก้ปัญหาข้าวนาปรังได้แล้วขอให้เพิ่มจุดรับจำนำเพราะในปัจจุบันมีการกำหนดจุดรับจำนำทั่วจังหวัดเพียง 10 จุด แต่ละจุดก็ไม่สมดุลกัน เช่น อ.แม่จัน ที่มีบ้านเกิดของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำสำคัญของพรรคพลังประชาชน-พรรคเพื่อไทย มีมากถึง 4 จุด แต่ที่ อ.แม่สาย และเชียงแสน กลับไม่มีจุดรับจำนำเลย แต่กลับมีจุดรับจำนำที่ อ.เทิง และ อ.พาน เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ขอเสนอให้มีการหารือกันกับกลุ่มเกษตรกรก่อนที่รัฐบาลจะกำหนดจุดรับจำนำ เพราะเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาพวกเราเคยเสนอไปยังภาครัฐแล้ว 2 ครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความใส่ใจ
นายบุญแต่ง กล่าวอีกว่า ปัญหาจากการไม่มีจุดรับจำนำที่สมดุลกับพื้นที่ ซึ่งชาวนาต้องนำข้าวไปขายฝากกับโรงสี โดยโรงสีกำหนดราคาและเวลาจ่ายเงินเอง บางครั้งเลื่อนนานไปนับสิบวันจึงเรียกได้ว่าชาวนาเป็นรองพวกโรงสี 10 ต่อ 1 อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้จุดรับจำนำ ยังห่างไกลจากนาข้าวต้องเสียค่าขนส่งมาก บางครั้งเมื่อดัดแปลงรถขนข้าว ระหว่างทางก็อาจถูกดำเนินคดีจราจรอีก ซึ่งแม้เชียงราย จะไม่เคยถูกตำรวจจับ แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วที่เชียงใหม่ และหากเพิ่มจุดรับจำนำก็จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
ด้าน นายจิรายุ เผ่ากา แกนนำอีกคนกล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาข้าวนาปรังที่ผ่านมาครั้งล่าสุด โรงสีสิริภิญโญขอค่าชดเชยค่าขนส่งจากรัฐบาลเป็นเงิน 45 ล้านบาท ซึ่งหากได้เงินจำนวนนี้ก็จะสามารถนำส่วนต่างไปชดเชยจ่ายให้ชาวบ้านได้ครบหมดทั้ง 25 ล้านบาท แต่ตนเชื่อว่าอาจจะไม่ได้เพราะคณะกรรมการติดตามผลก็ระบุว่าคงสามารถจ่ายให้ได้ประมาณ 26 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอาจเหลือส่วนต่างเพื่อจ่ายเงินที่เหลือให้ชาวบ้านได้ไม่ครบ ดังนั้นจึงหวังว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 พ.ย.นี้ จะเห็นแก่ความทุกข์ยากของประชาชนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้นายมนัส โสกันธิกา ปลัดจังหวัดเชียงราย เข้ารับเรื่องจากกลุ่มเกษตรกร ซึ่งนายมนัส รับปากว่า จะนำข้อเสนอของเกษตรกรทั้งหมดส่งไปให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังโดยเร่งด่วนภายในวันนี้ เพื่อให้ทันการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้งขอโทษกลุ่มเกษตรกรที่ให้การช่วยเหลือช้าแต่ก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐมนตรีคนใหม่ ต้องดูข้อมูล เพื่อนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ทำให้กลุ่มเกษตรกรพอใจและแยกย้ายกันกลับไปรอฟังข่าวต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้าวนาปีฤดูผลิต 2551/2552 ธ.ก.ส.เชียราย คำนวนว่าจะมีข้าวเหนียวที่ชาวนาเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 600,000 ตัน ข้าวจ้าวประมาณ 240,000 ตัน รวมทั้งหมดประมาณ 800,000 กว่าตัน แต่คาดว่าชาวนาจะสามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำประมาณ 80,000-100,000 ตัน หรือคิดเป็น 10% ของผลผลิตทั้งหมด ตามราคารับประกันคือข้าวเหนียวคละ ตันละ 9,000 บาท ข้าวเหนียวเมล็ดยาวตันละ 10,000 บาทต่อตัน และข้าวจ้าว ตันละ 12,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน