เชียงใหม่/เชียงราย – ชาวนาเชียงใหม่-เชียงราย พร้อมใจชุมนุมหน้าศาลางกลางจังหวัด เรียกร้องรัฐเพิ่มจุดรับจำนำข้าวจากเกษตรกรและเปิดโอกาสโรงสีต่างพื้นที่เข้าร่วมโครงการได้ เหตุจำนวนจุดที่มีอยู่ไม่เพียงพอสร้างความเดือดร้อนให้ชาวนา ขณะเดียวกันถือโอกาสทวงถามเงินค่าข้าวที่ “โรงสีศิริภิญโญ” ยังค้างจ่ายอีกหลายสิบล้านบาท
วันนี้ (18 พ.ย.) กลุ่มเกษตรกรชาวนาจากหลายอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ เช่น สันทราย ดอยสะเก็ด แม่แตง สารภี สันป่าตอง แม่ริม เป็นต้น และบางส่วนจากจังหวัดลำพูน ในนามสมาพันธ์เกษตรกรไทยภาคเหนือประมาณ 100 คน ได้รวมตัวชุมนุมที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิต 2551/2552 ของรัฐบาล ซึ่งเกษตรกรชาวนาเห็นว่ายังไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอเพราะการดำเนินการในพื้นที่ติดขัดปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะโรงสีที่เข้าโครงการรับจำนำที่มีแค่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงใหม่อินเตอร์ไรซ์เพียงแห่งเดียว ซึ่งไม่เพียงพอรองรับความต้องการนำข้าวเข้าร่วมโครงการรับจำนำของชาวนา
ทั้งนี้ ทางสมาพันธ์เกษตรกรไทยภาคเหนือได้ยื่นข้อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบโครงการนี้เพิ่มจุดรับจำนำอีกอย่างน้อย 2-3 จุด ได้แก่ สายเหนือที่ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ สายใต้ที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ และที่จังหวัดลำพูน แห่งละ 1 จุด ขณะเดียวกันให้ทางการรับโรงสีต่างพื้นที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำได้ โดยการลดเงื่อนไข ระเบียบการเข้าร่วมโครงการ และขอให้รัฐบาลรับผิดชอบค่าขนส่งข้าวเปลือกของโรงสีต่างพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งขอให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำอย่าหยุดซื้อข้าวจากชาวนาเป็นช่วงๆ เพราะชาวนาจะได้รับความเดือดร้อน โดยหากข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับก็จะทำการระดมชาวนามาจากหลายพื้นที่มาทำการปิดล้อมศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่
นายชัยศิลป์ รินแก้ว ประธานสมาพันธ์เกษตรกรไทยภาคเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องการเรียกร้องให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/2552 เปิดจุดรับจำนำเพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 จุด ให้เพียงพอกับความต้องการนำข้าวเข้าจำนำของชาวนา เพราะขณะนี้มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทำให้ชาวนาต้องรอคิวยาวและมีการหยุดรับจำนำเป็นช่วงๆ ด้วย โดยอ้างว่าไม่มีพื้นที่จัดเก็บข้าวเปลือกที่รับจำนำ ซึ่งชาวนาตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการเอาเปรียบชาวนา เพราะในขณะที่หยุดการรับจำนำนั้น ทางโรงสีกลับพร้อมที่จะรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนาในราคาตันละ 4,300 บาท ต่ำกว่าราคารับจำนำที่อยู่ระหว่างตันละ 6,300-9,000 บาท
ดังนั้น ทางสมาพันธ์เกษตรกรไทยภาคเหนือจึงอยากให้มีการเปิดจุดรับจำนำเพิ่มให้ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดให้มีโรงสีจากต่างพื้นที่เข้าร่วมโครงการด้วย เพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวนาที่ต้องการนำข้าวเข้าร่วมโครงการรับจำนำและสามารถรองรับปริมาณข้าวที่มีอยู่เวลานี้ประมาณ 50,000 ตันได้อย่างทั่วถึงเพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วจะก่อให้เกิดปัญหาผลผลิตคงค้าง เพราะในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้กำลังจะมีผลผลิตข้าวเปลือกเจ้าที่ต้องเก็บเกี่ยวอีกหลายหมื่นตัน ซึ่งจะทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อนเรื่องราคาตกต่ำอีก
สำหรับข้อเรียกร้องของสมาพันธ์เกษตรกรไทยภาคเหนือนั้น รายงานข่าวแจ้งว่า ทางคณะกรรมการข้าวประจำจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะมีการประชุมกันในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ (18 พ.ย.51) ได้เชิญให้ตัวแทนของสมาพันธ์ฯ เข้าร่วมการประชุมด้วย เพื่อนำเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าว พร้อมหารือกันถึงแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งเบื้องต้นเป็นที่พอใจของผู้ชุมนุม โดยก่อนหน้านั้นทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามจะเข้าปิดล้อมศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเจรจาได้เป็นผลสำเร็จ
ด้านจังหวัดเชียงราย วันเดียวกันนี้ (18 พ.ย.) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจาก 18 อำเภอ ของ จังหวัดเชียงราย นำโดยนายบุญแต่ง ธรรมสาร แกนนำจากอำเภอแม่สาย นายอำพล เวียงสืบนา จาก อำเภอพาน และนายจิรายุ เผ่ากา สมาชิก อบจ.เขต อ.พาน ได้รวมตัวกันที่ศาลากลางเชียงราย เพื่อขอให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเงินคงค้างจากการขายข้าวนาปรังที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาข้าวนาปีที่เกษตรกรกำลังอยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยว โดยกลุ่มเกษตรกรได้ยื่นหนังสือผ่านนายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง ผู้ว่าราชการจังหวัด.เชียงราย เพื่อส่งไปยังคณะมนตรี ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย.)
โดยเนื้อหาหนังสือระบุให้รัฐบาลเร่งรัดให้โรงสีสิริภิญโญ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทำข้อตกลงรับซื้อข้าวนาปรังจากชาวนาแต่ยังจ่ายเงินไม่ครบให้ทำการจ่ายให้ครบภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันประชุมคณะมนตรีดังกล่าว และขอให้เพิ่มจุดรับจำนำข้าวนาปีให้ครบทุกอำเภอ รวมทั้งขอให้โรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการจำนำข้าวนาปีใหม่ช่วยจ่ายเงินให้ตามข้อตกลง อย่าให้มีปัญหาเหมือนกรณีข้าวนาปรังอีก
นายบุญแต่ง กล่าวว่า ชาวนาในเชียงราย ยังไม่ได้รับเงินค่าขายข้าวนาปรังจากโรงสีสิริภิญโญรวมกันกว่า 517 คนจำนวนข้าว 3,273,784 กิโลกรัม เป็นเงิน 25,850,743 บาท โดยมีมากที่สุดในเขต อ.พาน จำนวน 215 ราย เป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท และได้รับทราบว่าคณะรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้เข้าหารือจึงหวังจะได้รับการช่วยเหลือเพราะหนี้สินก็ล้นพ้นตัวกันหมดแล้ว นอกจากนี้ระหว่างที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปีก็ไม่อยากมีปัญหาซ้ำเติมเข้าไปอีก
ทั้งนี้ หลังแก้ปัญหาข้าวนาปรังได้แล้วขอให้เพิ่มจุดรับจำนำเพราะในปัจจุบันมีการกำหนดจุดรับจำนำทั่วจังหวัดเพียง 10 จุด แต่ละจุดก็ไม่สมดุลกัน เช่น อ.แม่จัน ที่มีบ้านเกิดของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำสำคัญของพรรคพลังประชาชน – พรรคเพื่อไทย มีมากถึง 4 จุด แต่ที่ อำเภอแม่สาย และเชียงแสน กลับไม่มีจุดรับจำนำเลย แต่กลับมีจุดรับจำนำที่ อำเภอเทิง และ อำเภอพาน เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ขอเสนอให้มีการหารือกันกับกลุ่มเกษตรกรก่อนที่รัฐบาลจะกำหนดจุดรับจำนำ เพราะเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาพวกเราเคยเสนอไปยังภาครัฐแล้ว 2 ครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความใส่ใจ
แกนนำชาวนาจากอำเภอแม่สาย กล่าวอีกว่า ปัญหาจากการไม่มีจุดรับจำนำที่สมดุลกับพื้นที่ ซึ่งชาวนาต้องนำข้าวไปขายฝากกับโรงสี โดยโรงสีกำหนดราคาและเวลาจ่ายเงินเอง บางครั้งเลื่อนนานไปนับสิบวันจึงเรียกได้ว่าชาวนาเป็นรองพวกโรงสี 10 ต่อ 1 อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้จุดรับจำนำ ยังห่างไกลจากนาข้าวต้องเสียค่าขนส่งมาก บางครั้งเมื่อดัดแปลงรถขนข้าว ระหว่างทางก็อาจถูกดำเนินคดีจราจรอีก ซึ่งแม้เชียงรายจะไม่เคยถูกตำรวจจับแต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วที่เชียงใหม่ และหากเพิ่มจุดรับจำนำก็จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
ด้าน นายจิรายุ เผ่ากา แกนนำอีกคนกล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาข้าวนาปรังที่ผ่านมาครั้งล่าสุด โรงสีสิริภิญโญขอค่าชดเชยค่าขนส่งจากรัฐบาลเป็นเงิน 45 ล้านบาท ซึ่งหากได้เงินจำนวนนี้ก็จะสามารถนำส่วนต่างไปชดเชยจ่ายให้ชาวบ้านได้ครบหมดทั้ง 25 ล้านบาท แต่ตนเชื่อว่าอาจจะไม่ได้เพราะคณะกรรมการติดตามผลก็ระบุว่าคงสามารถจ่ายให้ได้ประมาณ 26 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอาจเหลือส่วนต่างเพื่อจ่ายเงินที่เหลือให้ชาวบ้านได้ไม่ครบ ดังนั้นจึงหวังว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 พ.ย.นี้ จะเห็นแก่ความทุกข์ยากของประชาชนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้นายมนัส โสกันธิกา ปลัดจังหวัดเชียงราย เข้ารับเรื่องจากกลุ่มเกษตรกร ซึ่งนายมนัส รับปากว่า จะนำข้อเสนอของเกษตรกรทั้งหมดส่งไปให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังโดยเร่งด่วนภายในวันนี้ เพื่อให้ทันการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้งขอโทษกลุ่มเกษตรกรที่ให้การช่วยเหลือช้าแต่ก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐมนตรีคนใหม่ ต้องดูข้อมูล เพื่อนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ทำให้กลุ่มเกษตรกรพอใจและแยกย้ายกันกลับไปรอฟังข่าวต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้าวนาปีฤดูผลิต 2551/2552 ธ.ก.ส.เชียราย คำนวนว่าจะมีข้าวเหนียวที่ชาวนาเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 600,000 ตัน ข้าวจ้าวประมาณ 240,000 ตัน รวมทั้งหมดประมาณ 800,000 กว่าตัน แต่คาดว่าชาวนาจะสามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำประมาณ 80,000-100,000 ตัน หรือคิดเป็น 10% ของผลผลิตทั้งหมด ตามราคารับประกันคือข้าวเหนียวคละ ตันละ 9,000 บาท ข้าวเหนียวเมล็ดยาวตันละ 10,000 บาทต่อตัน และข้าวจ้าว ตันละ 12,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน