xs
xsm
sm
md
lg

ปราชญ์เมืองแพร่เสนอใช้ “ข่วงผญา” ดึงปัญหาชาวบ้านร่วมสร้าง “การเมืองใหม่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แพร่ - ปราชญ์เมืองแพร่ชี้การเมืองใหม่ต้องยอมรับธรรมชาติ แนวคิดที่หลากหลายในชุมชนเคลื่อนกระบวนการแลกเปลี่ยนในชุมชน เปิดโลกของชาวบ้านผ่าน “ข่วงผญา” ดึงความรู้แบบไทยๆ-รากฐานประชาธิปไตย สร้างฐานการเมืองใหม่

จากปัญหาการโกงกินโดยปกปิดกติกาประชาธิปไตย แล้วอ้างกติการเลือกตั้งและการแย่งเก้าอี้ของกลุ่มการเมืองและนักการเมืองในปัจจุบัน ส่งผลให้เห็นชัดเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์และทรัพยากรธรรมชาติของประเทศได้ชัดเจนในขณะนี้ อันเป็นบ่อเกิดของความร่ำรวยในครอบครัวนักการเมือง ซึ่งถือว่าปัญหาดังกล่าวนำระบอบการปกครองของไทยมาถึงทางตัน

น่าจะเป็นจังหวะที่ชาวบ้านจะออกมาคิดร่วมกันในการนำพาประเทศไทยไปข้างหน้าในสิ่งที่ดีกว่า ที่เรียกกันว่า “การเมืองใหม่” ซึ่งองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาสังคมในภาคหนือกลุ่มเล็กๆ กำลังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา ที่ฐานรากของชุมชนให้นำไปสู่การเมืองใหม่ โดยมีสภาขวัญเมือง จ.เชียงราย ร่วมกับศูนย์เรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมจ.แพร่ ,ศูนย์พัฒนาเครือข่ายองค์กรชาวบ้าน จ.แพร่ สำนักฮอมบุญอโศก เดินหน้าสร้างกระบวนการให้ความรู้ประชาชนในแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง การฟื้นฟูการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้ปัจจัยที่สามารถกำหนดเองได้ ไม่ว่าป่าชุมชน เกษตรกรรมยั่งยืน สื่อภาคประชาชนและแนวคิดการเมืองภาคพลเมือง

นายประสาท ประเทศรัตน์ ประธานศูนย์การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม จ.แพร่ กล่าวว่า ถ้าประชาชนนิ่งเฉยกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน จะทำให้นักการเมืองแบบเก่าดำเนินกิจกรรมต่อไปโดยไม่ละอาย และจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความล่มจม ซึ่งก่อเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ แม้ในอเมริกาก็กำลังส่งผลในเรื่องของเศรษฐกิจที่กำลังล้มลงอย่างน่ากลัว แนวทางพัฒนาการเมืองใหม่ในระบบกลางนั้น เชื่อว่ามีนักคิดมากมายในประเทศกำลังระดมความคิดเพื่อให้ก่อเกิดการเมืองในความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมีเรื่องของการมีส่วนร่วมภาคประชาชน การกำหนดตัวนักการเมืองด้วยการเลือกตั้งตามกลุ่มอาชีพ การติดตามตรวจสอบ การถอดถอนนักการเมืองโกงกิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีการพูดคุยกันมาก

ในส่วนของฐานรากทางสังคมที่จะก่อเกิดสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีการพูดกันมากนัก ดังนั้น ภาคประชาสังคมในภาคเหนือ ซึ่งมีแนวคิดในการร่วมทำการเมืองใหม่ในระดับฐานรากของสังคม เนื่องจากมองว่า ปัจจุบันสังคมไทยเหมือนคนป่วยอัมพาต มีคนโกงกิน มีการกระทำผิดกฎหมาย แต่ประชาชนไม่รู้สึกว่านักการเมืองเหล่านั้น “ผิด” ยังคงรอรับเศษเงินที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ ซึ่งเห็นชัดว่าระบบการตรวจสอบของสังคมไทยไม่มีแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของประเทศอยู่ในขณะนี้

แนวทางแก้ไขนำไปสู่ “การเมืองใหม่” จะต้องคืนวิถีชีวิตของสังคมกลับมา หยุดการใช้อำนาจต่อประชาชนและเปิดเวทีให้มีการพูดคุยอย่างเสรีมากๆ และหลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมาคนในภาคเหนือมีการพูดคุย ที่เรียกว่า “ข่วงผญา” เป็นวงพูดคุยในชุมชนโดยมีทุกคนในชุมชนเป็นผู้รู้ เกิดการแลกเปลี่ยนกันอย่างเสรี ไม่มีเจ้านายไม่มีลูกน้อง แล้วสังคมก็นำไปใช้ในแนวทางที่พูดคุยกัน คนที่ได้รับการยกย่องก็ คือ ผู้ที่ให้ความรู้ให้ทางออกที่ดี เสียสละและมีคุณธรรม มีการสนทนาจากกลุ่มเล็กไปสู่กลุ่มใหญ่ อย่างเสมอภาค ซึ่งถือเป็นรากฐานของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ปัจจุบันการพูดคุยดังกล่าวไม่มี จะประชุมได้ต้องมีกฎหมายกำหนด นายอำเภอ จึงเข้ามามีบทบาทและในที่สุดชาวบ้านต้องฟังมากกว่าพูด ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน กลายเป็นคนของรัฐที่พยายามให้ประชาชนทำตามอำนาจรัฐ

“แม้แต่กฎหมายใหม่สภาองค์กรชุมชนที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการจัดตั้ง ไม่ให้อิสระทำให้ทุกกฎหมายทุกกระบวนการ แม้กฎหมายลูกที่มาจากรัฐธรรมนูญก็ยังไม่สามารถข้ามพ้นระบบรวบรัดได้”

นายประสาท ย้ำว่า ทางออกของการเมืองใหม่ในระดับฐานราก จะต้องฟื้นฟูการสนทนาแบบสุนทรียภาพเช่นในอดีตให้กลับมา ซึ่งคนชั้นกลางคนสมัยใหม่อาจใช้คำว่า “ไดอะล็อก” แต่ภาษาชาวบ้านคือวงพูดคุยธรรมดาหรือ “ข่วงผญา” นั่นเอง ซึ่งกระบวนการนี้มีนักคิดไม่ว่านายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ให้ความสนใจ สร้างเวทีความคิดปัญญาให้เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า นำไปสู่การสนับสนุนระบบการในการจัดการการเมืองใหม่ ที่พูดคุยอยู่ในทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี

“ที่ผ่านมากระบวนการนี้ติดอยู่ที่ระบบราชการ และนโยบายประชานิยม ทำให้ชาวบ้านวิ่งหาแหล่งทุน รวมถึงสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. คือ เอ็นจีโอที่ถูกเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ถูกทุนกลืนไม่เหลือ มีการผูกมัดตัวเองด้วยเงิน”
กำลังโหลดความคิดเห็น