ศูนย์ข่าวขอนแก่น - “ไทกร พลสุวรรณ” จี้ใจดำ พปช.กล้าทิ้งประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง รู้จักเสียสละเพื่อแก้วิกฤตบ้านเมือง หลีกทางให้เกิดรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ โอกาสเดียวที่จะลดความขัดแย้งของทุกฝ่ายและยุติความแตกแยกของคนในชาติ
เวลา 13.30 น.วันนี้ (11 ก.ย.) นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล และวิกฤตที่จะเกิดขึ้นหลังพรรคพลังประชาชนมีมติเสนอให้นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ห้องประชุมสถาบันพัฒนาแหล่งน้ำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถ.มิตรภาพ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีประชาชนชาวขอนแก่นจำนวนหนึ่งร่วมรับฟังและซักถามถึงความหมายและหลักการของรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ
นายไทกร กล่าวว่า จากการที่พรรคพลังประชาชนมีมติเสนอให้ นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ถือเป็นการซ้ำเติมวิกฤตชาติให้ลุกลาม และขยายวงกว้างไม่จบสิ้น ตามยุทธศาสตร์หลักที่ระบอบทักษิณตั้งเป้าไว้มาตั้งแต่ต้น เพราะหากไม่มีการเร่งแก้วิกฤตชาติ ความสูญเสียอันรุนแรงจะเกิดขึ้นด้วยการทำให้คนในสังคมชนบทเกลียดชังคนชนชั้นกลางและคนระดับสูง ประชาชนเกิดความรู้สึกเกลียดชังกัน และแบ่งสีชัดเจน โดยทำให้สีแดงเกลียดสีเหลือง ทำให้คนในชาติแตกแยกกันหนักและรุนแรงขึ้น จนอาจนำไปสู่สงครามประชาชนในเวลาอีกไม่นาน
นายไทกร กล่าวถึงทางออกในการแก้ปัญหาชาติ คือ สภาผู้แทนราษฎรจะต้องเปิดใจ ลดทิฐิ นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ซึ่งตัวแปรเดียวที่จะทำให้เกิดรัฐบาลปรองดองแห่งชาติได้หรือไม่ คือพรรคพลังประชาชน ที่จะต้องมีความเสียสละอย่างสูง ยอมเป็นพรรคการเมืองของประชาชนที่เห็นความทุกข์ ความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก
ด้วยการเร่งจัดตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ใช้วาระโอกาสนี้แก้วิกฤตในประเทศไทยก่อนจะสูญเสียโอกาสไป เพราะหากพรรคพลังประชาชนยังดึงดันที่จะให้ นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และเป็นรัฐบาลต่อ โดยมีการตกลงกันในเรื่องตำแหน่งหรือเก้าอี้ของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงวิกฤตชาติ ก็ชี้ให้เห็นถึงการรวบอำนาจรัฐของพรรคพลังประชาชน ที่จะไม่ยอมแก้ปัญหาบ้านเมืองแต่อย่างใด
นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำอีสานกู้ชาติ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ว่า จะเป็นทางออกของการยุติปัญหาและทำให้ประเทศพ้นวิกฤตอย่างแน่นอน โดยการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลผสมกันจากทุกฝ่าย ทั้งภาคการเมือง ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคราชการ ที่ทุกฝ่ายหันมามองปัญหาเดียวกัน และร่วมกันแก้ปัญหาจนประสบความสำเร็จ
จากนั้นจึงคืนอำนาจสู่ประชาชน ด้วยการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลังจากมั่นใจแล้วว่า ปัญหาอันเลวร้ายจากระบอบการเมืองที่พรรคการเมืองต้องการรวบอำนาจฝ่ายเดียว จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป