ศรีสะเกษ- ชาวศรีสะเกษเปิดวงเสวนาถกปัญหาเขาพระวิหารในโอกาส “46 ปี ไทยเสียอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร” เจ้าคณะจังหวัด ยันต้องผลักดันชุมชน ร้านค้า และวัดชาวกัมพูชา รุกล้ำเขตแดนไทยออกจากเชิงเขาพระวิหาร ก่อนเจรจาเป็นมรดกโลก และต้องไม่บุกรุกพื้นที่ทับซ้อนทุกจุด เผย ผลเสวนามีมติตั้ง “คณะทำงานทวงคืนเขาพระวิหาร” พร้อมจี้รัฐบาลไทยเลิกปิดหูปิดตา ปชช.แฉกลุ่ม ขรก.รับผลประโยชน์เดือนละหลายแสน สร้างบ้านพักให้กัมพูชาเช่ารุกล้ำเขตแดนไทย บริเวณเชิงเขาพระวิหารและขวางไม่ให้ผลักดันออกจาก พท.
วันที่ (15 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมนิววิทยาเซนเตอร์ หมู่บ้านทองไพศาล ชุมชนสะพานขาว ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ คณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ (คปศ.) ได้จัดเสวนาเรื่อง “ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก จ.ศรีสะเกษ ได้อะไร” ในโอกาสครบรอบ 46 ปี ที่ไทยเสียอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร
ทั้งนี้ มี พระเทพวรมุณี เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เป็นองค์ปาฐกร่วมกับผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายวิทยา วิรารัตน์ ประธานหอการค้าเขต 14 และ คณะกรรมการหอการค้าไทย, นายเทอดสิทธิ์ อุตส่าห์ ผู้ช่วยอธิการบดีวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา, นายสนอง ห้วยจันทร์ ประธานประชาคมอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ นายประพันธ์ ดอกไม้ ทนายความ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ท่ามกลางบรรดาปราชญ์ท้องถิ่นและประชาชนชาว จ.ศรีสะเกษ ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนากว่า 300 คน
พระเทพวรมุณี เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ชาวศรีสะเกษทุกคนเคารพในคำพิพากษาของศาลโลกที่ให้ประเทศกัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ใช่เขาพระวิหารทั้งลูก การที่ชาวกัมพูชาพากันมาปลูกบ้าน สร้างร้านค้าและวัด อยู่ที่บริเวณเชิงเขาพระวิหารซึ่งเป็นเขตแดนของไทยนับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการที่ประเทศกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก นั้น ไทยควรจะต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากเขตแดนไทยเสียก่อน จึงจะมีการเจรจากับกัมพูชาในเรื่องนี้
รวมทั้งบริเวณเชิงเขาพระวิหารหากบริเวณใด เห็นว่า เป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย กับ กัมพูชาก็ไม่ควรให้ชาวไทยและชาวกัมพูชาเข้าไปอาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว ควรปล่อยให้เป็นที่ว่างเปล่าเอาไว้ก่อนจนกว่าทั้งทั้ง 2 ประเทศ จะตกลงปักปันเขตแดนกันได้อย่างชัดเจน
นายสนอง ห้วยจันทร์ ประธานประชาคมอำเภอกันทรลักษ์ กล่าวว่า ตนมีแผนที่ซึ่งแสดงเขตแดนของไทย โดยเป็นแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ในท้องที่ ต.โซง อ.น้ำยืน ต.โคกสะอาด กิ่ง อ.น้ำขุ่น อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และพื้นที่ป่าเขาพระวิหารในท้องที่ ต.เสาธงชัย ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2541 เนื้อที่ประมาณ 130 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) หรือ เนื้อที่ประมาณ 81,250 ไร่
ในแผนที่ระบุชัดเจนว่า เขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย โดยมีผู้ลงนามรับรองแผนที่ คือ นายจำรูญ ทัศจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ และ นายสถิต สวินทร อธิบดีกรมป่าไม้
แผนที่ดังกล่าวนี้ได้จัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ 31 มี.ค.2541 เป็นปีที่ 53 ในรัชกาลปัจจุบัน พร้อมทั้งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มี.ค.2541 ซึ่งเป็นการแสดงหลักฐานชัดเจนว่า เขาพระวิหารเป็นของไทย
“ดังนั้น การที่ชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในเขตแดนไทยที่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร จึงถือว่าเป็นการบุกรุกเขตแดนไทยอย่างชัดเจน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากเขตแดนไทยให้จงได้และโดยด่วนที่สุด” นายสนอง กล่าว
ด้าน นายทิวา รุ้งแก้ว ประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ (คปศ.) กล่าวว่า ผลการเสวนาในครั้งนี้มีประเด็นใหญ่ที่สำคัญอยู่ 2 ประการ ด้วยกันคือ 1.จะต้องดำเนินการส่งผลการเสวนาต่อ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และ ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้นำเสนอให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้รับทราบ โดยจะต้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวศรีสะเกษ และชาวไทยทั่วประเทศได้รับทราบในข้อเท็จจริง และสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งรัฐบาลต้องไม่ปิดหูปิดตาประชาชนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ ในวงเสวนายังมีมติให้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการทวงคืนเขาพระวิหาร โดยมี นายเทอดสิทธิ์ อุตส่าห์ เป็นประธานคณะทำงาน ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อให้เขาพระวิหารกลับมาเป็นของไทย และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาที่ได้เข้ามาตั้งชุมนุม สร้างบ้านพัก ร้านค้าและวัด อยู่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งรุกล้ำเขตแดนไทยให้กลับไปสู่ดินแดนของประเทศกัมพูชาโดยด่วนที่สุด
ทั้งนี้ การที่ชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในบริเวณเชิงเขาพระวิหารได้ สาเหตุส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากมีข้าราชการไทยบางกลุ่มอยากจัดระเบียบเขาพระวิหาร และหาผลประโยชน์ จึงได้สร้างห้องแถวสังกะสีแล้วให้ชาวกัมพูชาเช่าอยู่ห้องละ 20,000 บาท ทำให้ชาวกัมพูชาที่ต้องการค้าขายเข้ามาเช่าห้องแถวอยู่กันเต็มไปหมด สร้างรายได้ให้ข้าราชการบางคนบางกลุ่มร่ำรวยเดือนละหลายแสนบาท
ดังนั้น จึงมีการพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวาง ไม่ให้มีการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากเชิงเขาพระวิหาร ทั้งที่เป็นการรุกล้ำเขตแดนไทยอย่างชัดเจน และกลายเป็นปัญหายืดเยื้อบานปลายอยู่ในขณะนี้
“ขอย้ำเตือนเพื่อกระตุ้นรัฐบาลไทย และให้ประชาชนชาวไทยเจ้าของประเทศได้ตระหนักว่า 15 มิ.ย.2505 หรือ ปี ค.ศ.1962 ประเทศไทย เราได้สูญเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับกัมพูชาไปแล้ว ดังนั้นปี ค.ศ.2008 ประเทศไทยจะต้องไม่เสียดินแดนอีก กัมพูชาต้องรื้อถอนร้านค้า บ้านพัก และ วัด ออกไปจากเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนไทย” นายทิวา กล่าว