นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวในรายการ "พันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย" ทางเอเอสทีวี เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ก.ค. ว่าวันนี้ จำเป็นต้องเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ได้พูดให้กำลังใจมาตลอด แต่ตอนนี้คงไม่ต้องให้กำลังใจ
แล้ว แต่จะเตือนอย่างกัลยาณมิตร ไม่เช่นนั้นประเทศจะต้องเข้าสู่หายนะ
นายสนธิกล่าวว่า เรื่องแรกที่จะเตือน คือความล้มเหลวทุกประการของรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี นาย
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนได้รู้ถึงวิกฤติครั้งใหญ่ของชาติ นั่นคือการที่ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหนีคดี ได้ให้คนใกล้ชิดคือนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิก
พงศ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ล่ารายชื่อประชาชนนับล้านคนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.
ทักษิณ ซึ่งเรื่องนี้คนที่มีปัญญาย้อมรู้ว่าทำไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ต้องการเล่นการเมืองกับสถาบันพระมหา
กษัตริย์
นายสนธิ กล่าวย้ำว่า การถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น คนที่ต้องการได้อภัยโทษต้องรับโทษก่อน
และคนขอต้องเป็นนักโทษเองคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ให้คนอื่นเป็นตัวแทนล่ารายชื่อ ไม่เช่นนั้นอีกหน่อย
ใครมีเงิน เมื่อต้องโทษอะไรก็ไปจ้างประชาชนมาเข้าชื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะ
ฉะนั้นในเมื่อรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำไมได้ แต่คนพวกนี้ก็ยังทำ ก็เพราะต้องการเอาการเมืองไปเล่นกับพระเจ้าอยู่หัว
หากเมื่อถวายฎีกาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะไปพูดกันทันทีว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ให้ความเป็นธรรมกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ โดยชาวบ้านที่ไปลงชื่อก็จะไม่เข้าใจที่มาที่ไปว่าโดยหลักการแล้วทำไม่ได้ ก็จะเข้าใจผิดต่อ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายสนธิ กล่าวว่า ในเมื่อรู้ว่านี่คือเกมของทักษิณ ทำไมนายกฯ ไม่สั่งให้รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ใช้สื่อต่างๆ
ทำความเข้าใจกับประชาชน โดยต้องให้ฟรีทีวี ทั้งช่อง 11 และ ช่อง 3 ช่อง 9 ที่อยู่ภายใต้สัมปทาน ช่อง 5
และ 7 ซึ่งเป็นช่องของทหาร ต้องให้ผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรรายการเล่าข่าวต่างๆ ให้ข้อมูลกับประชาชน
อย่างกว้างขวางว่า การถวายฎีกาครั้งนี้คือการเล่นการเมืองกับในหลวง ต้องโหมกระพือเรื่องนี้ให้คนทั่ว
ประเทศรู้ ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่ได้งมงายทั้งหมด ถ้าเอาเหตุผลไปให้พวกเขาได้รู้
พวกเขาก็จะไม่เอาด้วยกับการถวายฎีกาครั้งนี้
นายสนธิกล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องที่ 2 อยากจะขอร้องให้นายกฯ ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา 1 ชุด
โดยนายกฯ เป็นประธาน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศเป็นเลขาณุการ คณะกรรมการชุดนี้ควรมี
บุคคลที่มีองค์ความรู้ และมีภาคประชาชนเข้ามาร่วม อาจมี ส.ส. ส.ว.เข้าร่วมด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องเป็นคณะ
กรรมการที่ใหญ่ เพื่อมาบริหารจัดการข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร และสร้างความโปร่งใสให้ประชาชนใน
เรื่องดังกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า กรณีเขาพระวิหารนั้นนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ส่งสัญญาณ
ไม่เหมือนกัน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.52 ขณะที่นายกฯ เยือนจีนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้บอกนายสุเทพในการไปจร
จากับนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา ว่าให้ย้ำจุดยืนไม่ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของ
กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง เพราะถ้ายอมรับการขึ้นทะเบียนก็เท่ากับยอมรับแผนที่ที่กัมพูชาใช้อ้างอิง
ซึ่งจะทำให้ไทยเสียดินแดนอีก 1.5 ล้านไร่ตามมา แต่ในวันวันเดียวกันนั้น นายสุเทพให้สัมภาษณ์ก่อนไป
กัมพูชาว่า คงไม่เอาเรื่องอะไรไปพูดให้เป็นปัญหา เพราะนายกฯ ไม่ให้พูดเรื่องเขาพระวิหาร ให้พูดแต่เรื่อง
ที่เป็นมิตรไมตรีต่อกันเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าใครโกหกกันแน่ ระหว่างนายกฯ กับนายสุเทพ แต่ที่นายกฯ
พูดนั้นเป็นจุดยืนเดียวกันกับตอนที่เป็นฝ่ายค้าน และได้อภิปรายคัดค้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่าง
ประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนให้จดทะเบียนปราสาท
พระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา
นายสนธิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายสุเทพยังอ้างว่าไทยไม่มีอะไรโต้แย้งเรื่องเขาพระวิหารกับกัมพูชา ทั้งที่
ข้อเท็จจริงนั้น เราโต้แย้งเรื่องแผนที่ตั้งแต่แรก เพราะเราถือแผนที่คนละฉบับกัน และการที่นายอภิสิทธิ์
บอกว่าให้คัดค้านการขึ้นทะเบียนก็เท่ากับโต้แย้งแล้ว ขณะเดียวกันนายสุเทพยังพูดเหมือนนายสมัครและ
คนเสื้อแดงว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแล้วตามคำตัดสินของศาลโลก แต่นายสุเทพพูดไม่หมดว่า
เรายังขอสงวนสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์เมื่อมีข้อมูลใหม่
นายสนธิกล่าวอีกว่า พันธมิตรฯ ได้ออกมาคัดค้านการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่ปี 51 ตอน
ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ ซึ่งตอนนั้นนายนพดล ปัทมะได้ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาสนับ
สนุนให้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งโดยนัยเท่ากับว่าเรา
ยอมรับแผนที่ที่เขมรใช้ ซึ่งหากเขาอ้างแผนที่ดังกล่าวไทยจะเสียพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์สัตว์
ป่าและพันธุ์พืช 7 แห่งในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ และบริเวณรอบๆ เขาพระวิหารรวม
เนื้อที่ 1.5 ล้านไร่
“ผมขอเตือนคุณสุเทพ ถ้าคิดว่าการเสียดินแดน 1.5 ล้านไร่เป็นเรื่องเล็ก แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
ในชีวิต ผมยอมไม่ได้ เด็ดขาด ในฐานะลูกเจ๊กแต่เป็นคนไทยที่รักชาติ ตารางนิ้วเดียวก็ไม่อยากจะเสีย จะมา
เสีย 1.5 ล้านไร่ เพราะความโง่เง่าอย่างนั้นหรือ นี่คือทำไมเราถึงคัดค้านนายนพดลและนายสมัครอย่างถึง
ไหนถึงกัน”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่นายนพลดลไปลงนามนั้นถูกศาลปกครองและศาลรัฐ
ธรรมนูญพิพากษาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว แต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา 6 เดือนแล้ว ทำไมยังไม่แจ้ง
กัมพูชาและยูเนสโก้ว่าขอยกเลิกแถลงการณ์ดังกล่าว เพื่อที่จะบอกว่าเราไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการ
มรดกโลกที่รับจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร
นายสนธิ กล่าวว่า เขาพระวิหารนั้นมีการประจันหน้ากันระหว่างไทยกับกัมพูชามาตลอด แต่ก็ยันกันอยู่
อย่างนั้น โดยมีการอ้างแผนที่คนละฉบับ แต่เรามีข้อเท็จจริงว่า ตอนที่ฝรั่งเศสคืนดินแดนให้ไทย (หลัง
สงครามอินโดจีน) นั้น เขายอมรับแผนที่ฉบับของเรา นั่นคือเกาะกูดเป็นของเราทั้งเกาะ จนกระทั่ง พ.ต.ท.
ทักษิณมาเป็นนายกฯ มีการแอบเจรจากับนายฮุนเซน เรื่องผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทย
ไปยอมรับอย่างไม่เป็นทางการว่าแผนที่ที่เขมรใช้อ้างอิงเรื่องเขาพระวิหารนั้นถูกต้อง ซึ่งเมื่อลากลงไปใน
ทะเลจะทำให้เกาะกูดถูกแบ่งครึ่งและเขตแดนทางทะเลส่วนที่มีก๊าซ และน้ำมันนั้นตกเป็นของกัมพูชา
แล้วคนที่ขายบ้านขายเมืองก็จะไปเจรจากับกัมพูชาขอสัมปทานตรงนั้นเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋า ดังนั้นเมื่อ
รัฐบาลนายสมัครเข้ามา จึงมีการจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อพันธมิตรฯ ประท้วงอย่างแข็งขันจึง
ต้องมีการคุยกันใหม่
นายสนธิย้ำว่า ต้องการเห็นรัฐบาลนี้สั่งยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ตามที่นายกษิตเคยแนะนำบน
เวทีพันธมิตรฯ อย่าปล่อยให้เลยตามเลย ส่วนกรณีที่ส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมไปประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองเซบิญา ประเทศสเปนนั้น เป็นการส่งไปผิดคน เพราะ
นายสุวิทย์ไม่มีอำนาจ และไม่ได้เสนออะไรในที่ประชุม นอกจากไปสังเกตการณ์ เมื่อกลับมาแล้วนายสุ
วิทย์ยังโกหกว่าเขาทำให้กรรมการมรดกโลกเลื่อนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารไปเป็นเดือน ก.พ.ปี 53 ทั้ง
ที่มันเป็นขั้นตอนที่กำหนดไว้แต่เดิม ซึ่งการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิการเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์
นั้นมีอยู่ 16 ข้อ ซึ่งข้อสุดท้ายนั้นต้องเสร็จในเดือน ก.พ.53 ที่ให้กัมพูชาส่งแผนจัดการบริหารพื้นที่ที่
สมบูรณ์พร้อมแผนที่ ไม่ใช่การเลื่อนกำหนดตามที่นายสุวิทย์อ้าง
นอกจากนี้นายสุวิทย์ ในฐานะ รมว.ทรัพยากร ยังไม่ยกเลิกโครงการสมัยรัฐบาลนายสมัครในการพัฒนา
พื้นที่รอบเขาพระวิหารให้เป็นไปตามเงื่อนไขของมรดกโลก พื้นที่หลายหมื่นไร่ โดยมีการแอบร่างทีโออาร์
ให้เอกชนมาเซ็นสัญญาแล้ว เพราะฉะนั้นนายสุวิทย์จึงเป็นอีกคนหรือไม่ที่จะมีส่วนทำให้ไทยเสียดินแดน
นายสนธิกล่าวว่า หากรัฐบาลนี้ต้องการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารจริงทำไมต้องส่งตัวแทน
ไปร่วมประชุมกับกัมพูชาและชาติหุ้นส่วนอีก 7 ชาติเรื่องการพัฒนาทรัพย์สิน ตามขั้นตอนที่ 14 ของการ
จดทะเบียน ทำให้กัมพูชาทำตามเงื่อนไขข้อนี้สำเร็จ
เพื่อประชาธิปไตย" ทางเอเอสทีวี เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ก.ค. ว่าวันนี้ จำเป็นต้องเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ได้พูดให้กำลังใจมาตลอด แต่ตอนนี้คงไม่ต้องให้กำลังใจ
แล้ว แต่จะเตือนอย่างกัลยาณมิตร ไม่เช่นนั้นประเทศจะต้องเข้าสู่หายนะ
นายสนธิกล่าวว่า เรื่องแรกที่จะเตือน คือความล้มเหลวทุกประการของรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี นาย
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนได้รู้ถึงวิกฤติครั้งใหญ่ของชาติ นั่นคือการที่ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหนีคดี ได้ให้คนใกล้ชิดคือนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิก
พงศ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ล่ารายชื่อประชาชนนับล้านคนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.
ทักษิณ ซึ่งเรื่องนี้คนที่มีปัญญาย้อมรู้ว่าทำไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ต้องการเล่นการเมืองกับสถาบันพระมหา
กษัตริย์
นายสนธิ กล่าวย้ำว่า การถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น คนที่ต้องการได้อภัยโทษต้องรับโทษก่อน
และคนขอต้องเป็นนักโทษเองคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ให้คนอื่นเป็นตัวแทนล่ารายชื่อ ไม่เช่นนั้นอีกหน่อย
ใครมีเงิน เมื่อต้องโทษอะไรก็ไปจ้างประชาชนมาเข้าชื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะ
ฉะนั้นในเมื่อรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำไมได้ แต่คนพวกนี้ก็ยังทำ ก็เพราะต้องการเอาการเมืองไปเล่นกับพระเจ้าอยู่หัว
หากเมื่อถวายฎีกาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะไปพูดกันทันทีว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ให้ความเป็นธรรมกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ โดยชาวบ้านที่ไปลงชื่อก็จะไม่เข้าใจที่มาที่ไปว่าโดยหลักการแล้วทำไม่ได้ ก็จะเข้าใจผิดต่อ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายสนธิ กล่าวว่า ในเมื่อรู้ว่านี่คือเกมของทักษิณ ทำไมนายกฯ ไม่สั่งให้รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ใช้สื่อต่างๆ
ทำความเข้าใจกับประชาชน โดยต้องให้ฟรีทีวี ทั้งช่อง 11 และ ช่อง 3 ช่อง 9 ที่อยู่ภายใต้สัมปทาน ช่อง 5
และ 7 ซึ่งเป็นช่องของทหาร ต้องให้ผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรรายการเล่าข่าวต่างๆ ให้ข้อมูลกับประชาชน
อย่างกว้างขวางว่า การถวายฎีกาครั้งนี้คือการเล่นการเมืองกับในหลวง ต้องโหมกระพือเรื่องนี้ให้คนทั่ว
ประเทศรู้ ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่ได้งมงายทั้งหมด ถ้าเอาเหตุผลไปให้พวกเขาได้รู้
พวกเขาก็จะไม่เอาด้วยกับการถวายฎีกาครั้งนี้
นายสนธิกล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องที่ 2 อยากจะขอร้องให้นายกฯ ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา 1 ชุด
โดยนายกฯ เป็นประธาน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศเป็นเลขาณุการ คณะกรรมการชุดนี้ควรมี
บุคคลที่มีองค์ความรู้ และมีภาคประชาชนเข้ามาร่วม อาจมี ส.ส. ส.ว.เข้าร่วมด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องเป็นคณะ
กรรมการที่ใหญ่ เพื่อมาบริหารจัดการข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร และสร้างความโปร่งใสให้ประชาชนใน
เรื่องดังกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า กรณีเขาพระวิหารนั้นนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ส่งสัญญาณ
ไม่เหมือนกัน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.52 ขณะที่นายกฯ เยือนจีนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้บอกนายสุเทพในการไปจร
จากับนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา ว่าให้ย้ำจุดยืนไม่ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของ
กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง เพราะถ้ายอมรับการขึ้นทะเบียนก็เท่ากับยอมรับแผนที่ที่กัมพูชาใช้อ้างอิง
ซึ่งจะทำให้ไทยเสียดินแดนอีก 1.5 ล้านไร่ตามมา แต่ในวันวันเดียวกันนั้น นายสุเทพให้สัมภาษณ์ก่อนไป
กัมพูชาว่า คงไม่เอาเรื่องอะไรไปพูดให้เป็นปัญหา เพราะนายกฯ ไม่ให้พูดเรื่องเขาพระวิหาร ให้พูดแต่เรื่อง
ที่เป็นมิตรไมตรีต่อกันเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าใครโกหกกันแน่ ระหว่างนายกฯ กับนายสุเทพ แต่ที่นายกฯ
พูดนั้นเป็นจุดยืนเดียวกันกับตอนที่เป็นฝ่ายค้าน และได้อภิปรายคัดค้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่าง
ประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนให้จดทะเบียนปราสาท
พระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา
นายสนธิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายสุเทพยังอ้างว่าไทยไม่มีอะไรโต้แย้งเรื่องเขาพระวิหารกับกัมพูชา ทั้งที่
ข้อเท็จจริงนั้น เราโต้แย้งเรื่องแผนที่ตั้งแต่แรก เพราะเราถือแผนที่คนละฉบับกัน และการที่นายอภิสิทธิ์
บอกว่าให้คัดค้านการขึ้นทะเบียนก็เท่ากับโต้แย้งแล้ว ขณะเดียวกันนายสุเทพยังพูดเหมือนนายสมัครและ
คนเสื้อแดงว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแล้วตามคำตัดสินของศาลโลก แต่นายสุเทพพูดไม่หมดว่า
เรายังขอสงวนสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์เมื่อมีข้อมูลใหม่
นายสนธิกล่าวอีกว่า พันธมิตรฯ ได้ออกมาคัดค้านการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่ปี 51 ตอน
ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ ซึ่งตอนนั้นนายนพดล ปัทมะได้ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาสนับ
สนุนให้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งโดยนัยเท่ากับว่าเรา
ยอมรับแผนที่ที่เขมรใช้ ซึ่งหากเขาอ้างแผนที่ดังกล่าวไทยจะเสียพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์สัตว์
ป่าและพันธุ์พืช 7 แห่งในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ และบริเวณรอบๆ เขาพระวิหารรวม
เนื้อที่ 1.5 ล้านไร่
“ผมขอเตือนคุณสุเทพ ถ้าคิดว่าการเสียดินแดน 1.5 ล้านไร่เป็นเรื่องเล็ก แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
ในชีวิต ผมยอมไม่ได้ เด็ดขาด ในฐานะลูกเจ๊กแต่เป็นคนไทยที่รักชาติ ตารางนิ้วเดียวก็ไม่อยากจะเสีย จะมา
เสีย 1.5 ล้านไร่ เพราะความโง่เง่าอย่างนั้นหรือ นี่คือทำไมเราถึงคัดค้านนายนพดลและนายสมัครอย่างถึง
ไหนถึงกัน”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่นายนพลดลไปลงนามนั้นถูกศาลปกครองและศาลรัฐ
ธรรมนูญพิพากษาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว แต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา 6 เดือนแล้ว ทำไมยังไม่แจ้ง
กัมพูชาและยูเนสโก้ว่าขอยกเลิกแถลงการณ์ดังกล่าว เพื่อที่จะบอกว่าเราไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการ
มรดกโลกที่รับจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร
นายสนธิ กล่าวว่า เขาพระวิหารนั้นมีการประจันหน้ากันระหว่างไทยกับกัมพูชามาตลอด แต่ก็ยันกันอยู่
อย่างนั้น โดยมีการอ้างแผนที่คนละฉบับ แต่เรามีข้อเท็จจริงว่า ตอนที่ฝรั่งเศสคืนดินแดนให้ไทย (หลัง
สงครามอินโดจีน) นั้น เขายอมรับแผนที่ฉบับของเรา นั่นคือเกาะกูดเป็นของเราทั้งเกาะ จนกระทั่ง พ.ต.ท.
ทักษิณมาเป็นนายกฯ มีการแอบเจรจากับนายฮุนเซน เรื่องผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทย
ไปยอมรับอย่างไม่เป็นทางการว่าแผนที่ที่เขมรใช้อ้างอิงเรื่องเขาพระวิหารนั้นถูกต้อง ซึ่งเมื่อลากลงไปใน
ทะเลจะทำให้เกาะกูดถูกแบ่งครึ่งและเขตแดนทางทะเลส่วนที่มีก๊าซ และน้ำมันนั้นตกเป็นของกัมพูชา
แล้วคนที่ขายบ้านขายเมืองก็จะไปเจรจากับกัมพูชาขอสัมปทานตรงนั้นเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋า ดังนั้นเมื่อ
รัฐบาลนายสมัครเข้ามา จึงมีการจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อพันธมิตรฯ ประท้วงอย่างแข็งขันจึง
ต้องมีการคุยกันใหม่
นายสนธิย้ำว่า ต้องการเห็นรัฐบาลนี้สั่งยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ตามที่นายกษิตเคยแนะนำบน
เวทีพันธมิตรฯ อย่าปล่อยให้เลยตามเลย ส่วนกรณีที่ส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมไปประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองเซบิญา ประเทศสเปนนั้น เป็นการส่งไปผิดคน เพราะ
นายสุวิทย์ไม่มีอำนาจ และไม่ได้เสนออะไรในที่ประชุม นอกจากไปสังเกตการณ์ เมื่อกลับมาแล้วนายสุ
วิทย์ยังโกหกว่าเขาทำให้กรรมการมรดกโลกเลื่อนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารไปเป็นเดือน ก.พ.ปี 53 ทั้ง
ที่มันเป็นขั้นตอนที่กำหนดไว้แต่เดิม ซึ่งการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิการเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์
นั้นมีอยู่ 16 ข้อ ซึ่งข้อสุดท้ายนั้นต้องเสร็จในเดือน ก.พ.53 ที่ให้กัมพูชาส่งแผนจัดการบริหารพื้นที่ที่
สมบูรณ์พร้อมแผนที่ ไม่ใช่การเลื่อนกำหนดตามที่นายสุวิทย์อ้าง
นอกจากนี้นายสุวิทย์ ในฐานะ รมว.ทรัพยากร ยังไม่ยกเลิกโครงการสมัยรัฐบาลนายสมัครในการพัฒนา
พื้นที่รอบเขาพระวิหารให้เป็นไปตามเงื่อนไขของมรดกโลก พื้นที่หลายหมื่นไร่ โดยมีการแอบร่างทีโออาร์
ให้เอกชนมาเซ็นสัญญาแล้ว เพราะฉะนั้นนายสุวิทย์จึงเป็นอีกคนหรือไม่ที่จะมีส่วนทำให้ไทยเสียดินแดน
นายสนธิกล่าวว่า หากรัฐบาลนี้ต้องการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารจริงทำไมต้องส่งตัวแทน
ไปร่วมประชุมกับกัมพูชาและชาติหุ้นส่วนอีก 7 ชาติเรื่องการพัฒนาทรัพย์สิน ตามขั้นตอนที่ 14 ของการ
จดทะเบียน ทำให้กัมพูชาทำตามเงื่อนไขข้อนี้สำเร็จ