ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “สมเกียรติ” แกนนำพันธมิตรฯ ระบุรัฐบาลหุ่นเชิดและพรรคนอมินีเข้าตาจนจ่อปากเหวมรณะแล้ว เหลือเวลาน้อยนิดจึงดิ้นสุดชีวิตแก้ “รัฐธรรมนูญ” ท้าทายพลังทางศีลธรรมเพื่อความอยู่รอดและปกป้องระบอบทักษิณ เรียกร้องเครือข่ายพันธมิตรฯทั่วประเทศร่วมทำ “รธน.” ฉบับผ่านประชามติให้ศักดิ์สิทธิ์ ตามหลัก “กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งใด” อย่าให้ทุนสามานย์ซื้อประเทศราคาถูก ฟันธงการเมืองภาคประชาชนจะย้อนมาชี้ขาดอีกวาระหนึ่ง
วันนี้ (23 มี.ค.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางสังคมการเมืองในขณะนี้ว่า ในวันนี้รัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนในทุกขณะแล้ว เพราะปัจจัยหลักอันเป็นผลมาจากกฎแห่งกรรมอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ
1.การใช้อำนาจเพื่อทำลายกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นก่อนถึงศาล ด้วยการโยกย้ายข้าราชการที่ซื่อสัตย์หลายหน่วยงานอย่างลุแก่อำนาจและบ้าเลือด เพื่อปกป้องคุ้มครองคนในระบอบทักษิณ
2. คดีความการทุจริตของระบอบทักษิณกำลังเข้าสู่อำนาจของตุลาการภิวัฒน์ เช่น คดีที่ดินรัชดาภิเษก คดีหวยบนดิน คดีกล้ายางพารา ฯลฯ การส่อทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ของผู้นำประเทศในคดีรถดับเพลิงที่อยู่ในมือของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคดีขยะกรุงเทพมหานครที่อยู่ในมือของคณะกรรมการป้องกันและปราปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
และ 3.คดีการยุบพรรคการเมือง ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“เส้นทางนี้บ่งบอกว่ารัฐบาลอัปลักษณ์ชุดนี้เหลือเวลาน้อยเต็มที ใกล้จุดจบถูกผลกรรมบีบบังคับให้เดินไปจ่อที่ปากเหวมรณะแล้ว” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร ทันทีที่มีอำนาจเพียงวันเดียวหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เขาก็เก็บอาการล้างแค้นไม่อยู่ รีบร้อนทำการโยกย้ายข้าราชการตงฉินที่เกี่ยวข้องกับคดีของระบอบทักษิณทันที
พร้อมกันนั้นก็ฟื้นคืนชีพ “รัฐตำรวจ” ขึ้นตามแนวทางที่รัฐบาลซึ่งถูกประชาชนขับไล่เคยทำไว้ แต่กระนั้นผลกรรมอื่นก็ติดจรวดตามมาคือ คดียุบพรรค ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นสาระหลักที่รัฐบาลนอมินีจะต้องกระทำการทุกวิถีทางเพื่อมิให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค4 บัญญัติไว้ ซึ่งวิธีการที่รัฐบาลสมัคร วางไว้ 3 แนวทาง คือ การรัฐประหารเงียบ การยุบสภาฯ และไม้ตายคือการเดินหน้าแก้ไขรัธรรมนูญ
ในฐานะที่ตนเป็นพันธมิตรกับพี่น้องประชาชนผู้เป็นพลังทางศีลธรรมทั่วประเทศ แม้เราจะไม่สามารถทำลายต้นตอการใช้เงินซื้อเสียงซื้อประเทศได้ แต่เราต้องร่วมกันทำให้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับแรกที่ผ่านประชามติของประชาชนศักดิ์สิทธิ์ คือ เดินหน้ายุบพรรคนายทุนสามนาย์ที่ใช้เงินซื้อประเทศ ดังบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรักไทยของระบอบทักษิณมาแล้วในคดีประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2550
ดังนั้น ตนอยากจะยกความสำคัญบางส่วนในคำพิพากษามา 4 ตอน มาให้ประชาชนพิจารณาดู ดังต่อไปนี้
1.ผู้ถูกร้องที่ 1 (พรรคไทยรักไทย)เข้าแทรกแซงบิดผันการเข้าสู่อำนาจ(ใช้เงินเพื่อทุจริตเลือกตั้ง) เพื่อสร้างภาพลวงตาว่ามีการแข่งขันกันตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่โดยเนื้อแท้มิได้เป็นเช่นนั้น
2.แต่ผู้ถูกร้องที่ 1 (พรรคไทยรักไทย) กลับทำให้การเลือกตั้งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็น การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นเพียงแบบพิธีที่จะนำไปสู่การผูกขาดอำนาจทางการเมืองของผู้ถูกร้องที่ 1 เท่านั้น
3.แต่การกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หลีกเลี่ยงผลบังคับของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามาตรา 74 วรรค 2 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541มาตรา 66(2) ทั้งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 66(3) อีกด้วย
4.นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่ากฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งใด
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ ซึ่งผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง
พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่ 1 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมือง แก่ระบอบการปกครองประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป กรณีจึลงมีเหตุอันสมควรยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ 1
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า แรกเลย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระบอกเสียงของระบอบทักษิณ คิดอ่านเพียงแก้กฎหมายประกอบรัฐ ธรรมว่าด้วยพรรคการเมืองและการเลือกตั้งเท่านั้น แต่เมื่อมี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคนให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปีไม่ทำไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญค้ำคออยู่ จากนั้นทั้งรัฐบาลและนักการเมืองขี้หมูไหลก็พากันโหมสร้างกระแสแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทันทีเลย
โดยออกแบบให้กลุ่มจัดตั้งในเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่เคยไปก่อความรุนแรงปิดล้อมบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งสะท้อนนัยแฝงเร้นว่ารัฐบาลสมัคร กรรมการบริหารและพรรคการเมือง ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องการข่มขืนทำร้ายจิตใจคนทั้งประเทศโดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ
“ผมขอฟันธงว่า แนวรบด้านรัฐธรรมนูญและตุลาการภิวัตน์ จะเป็นการสัปยุทธขั้นแตกหักระหว่างคนไทยใน 2 ระบอบ คือ ทุนนิยมเสรีที่ใช้ทุนสามานย์ซื้อประเทศผ่านการเลือกตั้ง กับ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งแนวรบนี้เนื้อแท้ก็คือ การคิดอ่านล้มเลิกรัฐธรรมนูญตามมาตรา 3 นั่นเอง ไปศึกษาข้อความในมาตรา 3 ให้ดีๆ ” นายสมเกียรติ กล่าวและว่า
ตนรู้สึกเศร้าใจมากที่อำนาจเงิน หรือทุนสามานย์เพียง 20-30 ล้านบาท ก็สามารถซื้อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ได้ 1 คนหากต้องการ 200 เสียงก็จะใช้เงินเพียง 6 พันล้านบาทเท่า นั้น แค่นี้ก็ได้ประเทศและคนไทยทั้ง 64 ล้านไปครอบครองเลย ทำให้ประเทศไทยมีค่าต่ำกว่าราคาของทีมฟุตบอลในอังกฤษทีมเดียวเสียอีก ซึ่งเม็ดเงินเพียง 6 พันล้านนี้คิดแล้วเป็นเพียง 1 ใน 37 ส่วนของเหล่าทรราชที่โกงชาติบ้านเมืองกว่า 2.2 แสนล้านบาท ซึ่ง คตส.กำลังตรวจสอบและทยอยส่งฟ้องศาล อยู่ในขณะนี้
ในวิกฤตสังคมทุกครั้งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเมืองภาคประชาชนใหญ่ที่สุด ในขณะที่การเมืองระบบรัฐสภาเป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ ไม่มีพลังเลย การล้มลงของเหล่าทรราชในเหตุการณ์14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และการโค่นทุนนิยมสามานย์ 2549 ล้วนเป็นน้ำมือภาคประชาชนและครั้งนี้จะต้องต่อสู้กับการพลิกแพลงของรัฐบาลหุ่นเชิด ที่กำลังเดินเกมเดิมพันประเทศด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้องระบบทุนสามานย์และคนในระบอบทักษิณ