ฉะเชิงเทรา - ช้างพลายเขาอ่างฤาไนบาดเจ็บ อ้อนวอนร้องขอให้คนช่วยรักษาชีวิต หลังไม่ได้รับการเหลียวแลช่วยเหลือรักษาบาดแผลจากผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เดินมุ่งหน้าออกจากป่าเข้าหาสู่หมู่บ้านคน หวังให้มนุษย์ช่วยเยียวยารักษา วอนผู้เกี่ยวข้องหันมาเหลียวแลรักษาอย่างจริงจัง ก่อนอาการกำเริบเกินเยียวยา จนอาจต้องสูญเสียสัตว์ป่าไปอีกหนึ่งชีวิต
นายบุญชู สุวรรณโชติ ชาวบ้าหมู่บ้านคลองตะเคียน จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นแนวเขตรอยต่อระหว่างหมู่บ้านกับแนวเขตป่ากันชน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน ป่าพื้นราบต่ำรอยต่อ 5 จังหวัดผืนสุดท้ายของประเทศ ประกอบด้วย จ.ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี เผยว่า ได้พบช้างป่าพลายขาเป๋ หรือตามที่เจ้าหน้าที่เรียก คือ พลายสามพราน ที่ถูกบ่วงดักสัตว์ป่าของนายพราน รัดข้อเท้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส บาดแผลเกิดอาการบวมอักเสบมีเนื้องอกที่ข้อเท้า จนข้อเท้ามีขนาดใหญ่ขึ้นมีรูปทรงผิดปกติกว้างใหญ่เกินกว่าเท้ามาก ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน
แต่บาดแผลยังไม่หายและต้องทนทุกข์อยู่ในป่าอย่างทรมาน โดยไม่ได้รับการเหลียวแลรักษาจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างจริงจังและถูกวิธี จนในปัจจุบันบาดแผลได้บวมเน่าเปื่อย มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมอีก พร้อมทั้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าและมีแมลงวันตอมรบกวนอยู่ตลอดเวลา จนช้างพลายไม่สามารถทนอยู่ในป่าเขาอ่างฤๅไนต่อไปอีกได้ จึงได้เดินออกจากป่าเข้ามาอยู่อาศัยในบึงน้ำขนาดเล็กใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บ ซุกหลบแมลงวันรบกวนอยู่ภายในปักโคลนตรม และจะขึ้นมาหากินอาหารบ้างเป็นบางครั้งคราวเมื่อหิว จนทำให้มีร่างกายซูบผอมเป็นอย่างมาก
ชาวบ้านที่ออกไปทำไร่ได้พบเห็นจึงเกิดความเวทนาสงสาร จึงได้นำอาหาร กล้วยอ้อยไปป้อนให้ จนเกิดความคุ้นเคยกัน และเชื่องจนสามารถเรียกชื่อ ร้องเรียกหาให้ขึ้นออกมาจากบ่อโคลนตรมได้ เพื่อมากินอาหารที่ชาวบ้านนำมาให้ ซึ่งช้างพลายได้เรียกร้องส่งเสียงขานรับให้ชาวบ้านรู้เมื่อถูกเรียกชื่อว่า “เป๋” และได้ใช้งวงจับมือของชาวบ้านเมื่อนำอาหารไปให้ ไปลูบไล้ที่บาดแผลเหมือนต้องการที่จะบอกให้คนรู้ถึงความเจ็บปวดทรมาน และต้องการความช่วยเหลือ พร้อมกับได้ใช้งวงปัดไล่แมลงวันที่บาดแผลอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ชาวบ้านที่ได้มาพบเห็นต่างพากันสงสารและหาอาหารมาช่วยป้อนให้กินด้วยความเวทนา จนสามารถใช้มือลูบงวงลูบหัวได้ และช้างพลายขาเป๋จะดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบคนที่เคยให้การช่วยเหลือมาหา และจะใช้งวงยื่นเข้ามาทักทาย ผิดไปจากวิสัยของสัตว์ป่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านได้พากันร่วมลงรายชื่อกว่า 40 ชื่อ เพื่อต้องการส่งเรื่องร้องขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานต่างๆ
โดยในการที่จะช่วยช้างป่าตัวนี้ให้ได้ถูกนำไปรักษาอย่างจริงจังในปางช้าง หรือโรงพยาบาลสัตว์ป่าที่มีขีดความสามารถในการรักษา หรือผ่าตัดบาดแผลให้อย่างถูกวิธี ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การสร้างกระแสการช่วยเหลือเหมือนในครั้งที่ผ่านๆ มา ที่มีการนำควานช้างมาจากจังหวัดสุรินทร์ มาทำพิธีคล้องช้าง และนำกลับไปให้เพียงยาแก้อักเสบ จนสุดท้ายช้างพลายขาเป๋ก็ต้องเดินขาเจ็บ ขาเป๋ กลับมายังแนวชายป่าที่เดิม ภายในเวลาเพียงกว่า 10 วันเท่านั้น
นอกจากนี้ การรักษาที่ผ่านมายังไม่มีอะไรดีขึ้น แต่กลับพบว่าบาดแผลมีอาการบวมอักเสบใหญ่กว่าเดิม ทั้งที่สูญเสียงบประมาณในครั้งนั้นไปเป็นจำนวนมาก จึงอยากฝากถามหน่วยงานที่รับผิดชอบว่า “ทำได้ถึงที่สุดแล้วหรือ และทำได้เพียงแค่นี้หรือ” และกล่าวอีกว่า แท้ที่จริงแล้วช้างพลายขาเป๋ตัวนี้ ต้องการความช่วยเหลือจากคนอยู่แล้ว เพียงแค่ชาวบ้านเรียกชื่อให้มันเดินตามหลังมา
ปัจจุบันช้างพลายป่าตัวนี้ก็จะเดินตามมาอย่างว่าง่ายแต่โดยดี และหากไม่มีงบประมาณที่จะจัดส่งช้างไปทำการรักษา ชาวบ้านทุกคนก็ยินดีที่จะจัดตั้งกองผ้าป่ารับบริจาคหาเงินมาช่วยเหลือช้างป่าตัวนี้ ให้ได้รับการรักษาให้หายจากความทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่ในขณะนี้สักที เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา
ด้าน นางวาสนา ไชยโชค อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 185 ม.13 ต.ท่าตะเกียบ กล่าวว่า รู้สึกสงสารช้างป่าขาเป๋ตัวนี้มาก อยากให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบนำไปทำการรักษาอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมาได้เห็นเขามาเอาไปรักษา แต่ก็ยังไม่เห็นหาย อาการก็ไม่ดีขึ้น ไม่นานช้างก็เดินกลับมาที่เดิมอีก รู้สึกสงสารเขามากจริงๆ อยากให้เขาหาย เพราะเขามาอยู่ที่นี่นานแล้วจนคุ้นกับชาวบ้าน และสามารถเข้าไปจับได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งตนก็ได้ช่วยบริจาคกล้วย อ้อย ให้คนในหมู่บ้านนำไปให้กินอยู่เป็นประจำ