ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - การเมือง “ยี้ห้อยนคร” เดือด ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังแม้ว จาก 4 เขต จ.บุรีรัมย์ ทั้งที่ถูกให้ใบแดง-ประกาศรับรองผลและยังไม่รับรอง รวม 9 คน แค้นหนักยกแก๊งโร่แจ้งความดำเนินคดีกับประธาน กกต.และ กกต.ฝ่ายสืบสวน บุรีรัมย์ อ้างกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สร้างพยานหลักฐานเท็จใส่ร้ายผู้สมัคร ส.ส.พลังประชาชน พร้อมปลุกระดมชาวบ้านกว่า 10,000 คน มาประท้วงกดดันที่หน้าสำนักงาน เป็นรอบที่ 3 พร้อมลงชื่อถอดถอน กกต.บุรีรัมย์
วันนี้ (4 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 08.00 น.นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 2 บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน (พปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสานพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วย ว่าที่ ส.ส.พรรค พปช.จากทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง จ.บุรีรัมย์ ทั้งที่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบแดง 3 คน, ผู้ที่ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง 5 คน และยังไม่รับรองการเลือกตั้ง 1 คน รวม 9 คน
ประกอบด้วย ส.ส.เขต 3 นายประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล นายสนอง เทพอักษรณรงค์, ส.ส. เขต 2 นายรังสิกร ทิมาตฤกะ นายมนต์ไชย ชาติวัฒนศิริ, ส.ส.เขต 4 นายโสภณ ซารัมย์ และ ว่าที่ ส.ส.เขต 3 ถูกใบแดงยกทีม คือ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน นายรุ่งโรจน์ ทองศรี นายประกิจ พลเดช รวมทั้ง นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส.เขต 2 พรรค พปช.ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ กับ ร.ต.อ.ปิยะชาติ ตรีพรไพรัช พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ เพื่อให้ดำเนินคดี กับ นายเกษม วัฒนธรรม ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล กกต.บุรีรัมย์ ฝ่ายสืบสวนสอบสวน
โดยกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันกระทำผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, กระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 29, มาตรา 45 กระทำการใดหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการจัดการเลือกตั้ง, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 มาตรา 140 มุ่งใส่ร้ายและนำหลักฐานอันเป็นเท็จเสนอต่อ กกต.กลาง มีเจตนาไม่ให้มีการรับรองผลการเลือกตั้ง และให้ผู้กล่าวหาถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
รวมทั้งได้นำผู้ต้องหาที่หนีหมายศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน มาเป็นพยานในคดีซื้อเสียง อีกทั้งได้มีการคุ้มครองอย่างแน่นหนา แต่ไม่มีการจับกุมถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ด้าน นายรังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.เขต 2 บุรีรัมย์ พรรค พปช.ตัวแทนผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน จ.บุรีรัมย์ ที่ร่วมเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในครั้งนี้ กล่าวว่า ตนพร้อมทั้งผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน จ.บุรีรัมย์ ขอยืนยันว่า ยังมีความเคารพและไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.กลาง แต่พวกตนไม่ไว้วางใจการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ เพราะที่ผ่านมาการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.จังหวัดบางท่าน ได้แก่ นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.และพ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล กกต.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นประธานฝ่ายสืบสวน มีความไม่เป็นกลาง เลือกปฏิบัติและมุ่งใส่ร้ายผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคพลังประชาชน
นอกจากนี้ ยังพยายามสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้ายผู้สมัครพรรคพลังประชาชนให้ถูกเพิกถอนสิทธิ โดยในเขตเลือกตั้งที่ 2 อ.พลับพลาชัย พร้อมได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพยานของกกต.จังหวัดบางคน ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วผู้ที่ กกต.นำมาเป็นพยานนี้เป็นผู้ที่เคยก่อคดีมาอย่างโชกโชน และเป็นผู้ที่มีหมายจับของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ในคดีร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนอีกด้วย
“จึงขอตั้งข้อสังเกตตรงนี้ว่า เหตุใดจึงนำผู้ที่มีประวัติและเป็นผู้ต้องหามาเป็นพยานของ กกต.ได้ มีการเจรจาใดๆ กันหรือไม่ อยากให้มีการตรวจสอบเพราะที่ผ่านมาพวกตนไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้จะไม่ได้กระทำผิดแต่ก็ถูกใส่ร้าย” นายรังสิกร กล่าว
ด้าน นายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.เขต 3 บุรีรัมย์ พรรค พปช.กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนเสมอว่าต้องการล้มล้างกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งก็คงหมายถึงพรรคพลังประชาชน และพฤติกรรมของประธาน กกต.และ กกต.ฝ่ายสืบสวนก็เป็นเช่นนั้นเสมอ ตั้งแต่การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มาจนถึงการเลือกตั้ง ส.ส.เช่น มีการนำทหาร ตำรวจไปตั้งจุดตรวจหน้าศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชาชน ตรวจค้นรถทุกคันที่เข้าออกศูนย์ ทั้งกลางวัน-กลางคืนตลอด 24 ชั่วโมงในวันที่ 22-23 ธ.ค.2550 เหตุใดจึงไม่ปฏิบัติเช่นนี้กับผู้สมัคร ส.ส.พรรคอื่นๆ
นอกจากนี้ หนึ่งในผู้ที่เข้าไปร่วมตรวจค้นในด่านตรวจ ก็ไม่ได้เป็นทหาร ตำรวจ เป็นบุคคลธรรมดา แต่กลับขับรถตำรวจและเข้าตรวจค้นรถร่วมกับตำรวจ อยากให้ตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องประการใดกับ กกต.จังหวัดบางคน ซึ่งตนและผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชนถือว่า กกต.จังหวัดปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการทำหน้าที่โดยมิชอบ เลือกปฏิบัติ เอาความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ทั้งที่กกต.มีหน้าที่ต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะอำนาจ กกต.สามารถให้คุณให้โทษกับผู้สมัคร ส.ส.ได้
นอกจากนี้ นายรังสิกร ทิมาตฤกะ, นายมนต์ไชย ชาติวัฒนศิริ ส.ส.เขต 2 บุรีรัมย์ พรรค พปช. และ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส.เขต 2 บุรีรัมย์ พรรค พปช.ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล กกต.บุรีรัมย์ และมีตำแหน่งเป็นรอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีที่ไม่จับกุม นายเปียง โสมวิเศษ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 ม.11 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ จ.411/2548 ออกเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2548 ท้องที่ สภ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด คดี กระทำผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ซึ่ง กกต.นำมาเป็นพยานของ กกต.อีกด้วย
ต่อมาเวลา 12.00 น.วันเดียวกันนี้ (4 ม.ค.) ว่าที่ ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ พรรค พปช.ที่ถูกให้ใบแดงทั้ง 3 คน พร้อมชาวบ้านจากทุกอำเภอกว่า 10,000 คน ได้เดินทางเข้ามาชุมนุมประท้วงที่หน้าสำนักงาน กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อคัดค้านการพิจารณาให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.อ้างไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายเลือกตั้ง
โดยแกนนำชาวบ้าน และว่าที่ ส.ส.ที่ถูกให้ใบแดงทั้ง 3 คน ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย โจมตีกล่าวหาการทำงานของ กกต.ว่าไม่เป็นกลาง พร้อมเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงถึงความชอบธรรมด้วย ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่มารักษาความสงบเรียบร้อยร่วม 100 นาย เพราะเกรงจะเกิดความวุ่นวายขึ้น
นอกจากนั้น ชาวบ้านที่มาชุมนุมประท้วงยังได้ร่วมกันลงชื่อถอดถอน นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล กกต.บุรีรัมย์ ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ออกจากตำแหน่งอีกด้วย
ด้าน นายประกิจ พลเดช หนึ่งในว่าที่ ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ ที่ถูก กกต.ให้แดง กล่าวว่า จากที่เลขาธิการ กกต.กลางออกมาให้ข่าวว่าได้เรียกว่าที่ ส.ส.ทั้ง 3 คน เข้าไปชี้แจงข้อกล่าวหาเรื่องร้องเรียนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงตามที่กล่าวอ้าง จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหนังสือเรียกเข้าไปชี้แจงแต่อย่างใด ซึ่งตนก็อยากจะถามความชอบธรรมว่า กกต.เป็นกลางจริงหรือไม่