xs
xsm
sm
md
lg

ใช้ “TikTok” เยียวยาใจ พิชิตมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





“เราไปดู Tiktok เราจะเห็นความสนุกสนาน… มันทำให้เรารู้สึกเรายิ้มได้ในแต่ละวัน” เปิดใจเจ้าของ #มะเร็งกลัวความสุข รู้ตัวอีกทีมะเร็งลุกลามถึงระยะที่ 3 แต่ปัจจุบันรักษาหาย เพราะได้ยาดีพิชิตโรคร้าย คือ “โซเชียลฯ-แอป TikTok”






TikTok เยียวยาจิตใจ สู้มะเร็งลำไส้!!


“ผมเป็นมะเร็งจริงๆ ครับ คือต้องบอกว่าการเจ็บป่วยของผม มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เป็นได้ แล้วต้องบอกว่า ดูสภาพแบบนี้แล้วไม่เหมือนคนป่วยที่เป็นมะเร็ง”

ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม หน้าตาสดใส ใครจะคิดว่าผู้ชายคนนี้ผ่านการต่อสู้กับโรคมะเร็งลำไส้ในระยะที่ 3 มาแล้ว วันนี้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้


เหมา-นพรุจ ประภาศิริ เปิดใจกับผู้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวของชีวิตที่ได้เกิดขึ้น หลังจากที่โลกออนไลน์ได้ส่งต่อประสบการณ์ในการต่อสู้กับ “มะเร็งลำไส้” จนเป็นที่รู้จักในฉายา #มะเร็งกลัวความสุข ในแอปพลิเคชัน TikTok และมีคลิปวิดีโอมากกว่า 100 คลิป

“ไม่แปลกที่บอกว่าดูเหมือนไม่เหมือนคนป่วย ตอนที่เล่น TikTok อยู่ เขาก็คิดว่าผมเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ออกมาเล่นเพื่อสร้างกำลังใจ เพราะว่าช่วงที่ผมเข้าโรงพยาบาล ให้คีโมและฉายแสงพร้อมกัน ผมใช้ TikTok เป็นตัวช่วยให้กำลังใจตัวเอง และเป็นตัวช่วยให้กำลังใจผู้อื่นด้วย

ในช่วงนั้น เป็นช่วงที่โควิดระบาดมากๆ ก็เลยเล่น TikTok เพื่อจะรักษาใจตัวเอง เขาก็เลยคิดว่า เอ๊ะ! ตกลงป่วยจริงรึเปล่า จนกระทั่งไปเลื่อน feed ดูเรื่อยๆ ปรากฏว่า 2 เดือนกว่าๆ เกือบ 3 เดือน คือยังอยู่โรงพยาบาลตลอดเลย ยังให้คีโม ยังไปฉายแสงตลอด ก็เลยรู้ว่าผมเป็นผู้ป่วยจริงๆ”

โดยปัจจุบันเขาก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้ด้วยกำลังใจจากตัวเขาเอง และกำลังจากโซเชียลมีเดียที่หลั่งไหลเข้ามา

“ต้องบอกว่า พอเรารู้ว่าเราแว้บๆ ก็ตาย เรากลับคิดว่าแล้ววันนี้เราทำอะไรแล้วรึยัง เราเริ่มต้นทำอะไรให้รู้สึกว่า มันเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างรึยัง มันเป็นประโยชน์ต่อครอบครัว เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแล้วรึยัง

สิ่งแรกที่คิดไหนๆ ก็ต้องตายแล้ว อาจจะต้องตายเร็วกว่าคนอื่นหน่อย เราก็คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้างั้นการตายของผมมันจะเป็นโยชน์ต่อใครได้ไหม มันคิดอย่างนั้นเลยนะครับ คิดแค่ว่าเราจะทำยังไงให้รู้สึกว่าการเจ็บปวดของผม การตายของผมในครั้งนี้มันจะเป็นประโยชน์ต่อคน


ผมก็เลยนึกถึงโซเชียลฯ ขึ้นมาได้ ถ้าเกิดเรานำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ออกไปในโลกออนไลน์ ให้คนรู้ว่า การเจ็บป่วยมันเป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะความสุขกับมันได้ มันจะสามารถรักษาใจให้เราต่อสู้กับโรคร้าย หรือสิ่งต่างๆ เข้ามาในภาวะใจของเราได้จริงไหม ซึ่งตัวเหมาเองก็มีการ approve มีการพิสูจน์ด้วยว่ามันเป็นจริง

เพราะตอนที่เราป่วยอยู่โรงพยาบาล เราเองใช้ hashtag คำว่า มะเร็งกลัวความสุข พอใช้ hashtag นี้ไป ปรากฏว่าคนเข้ามาดูเป็นล้าน เราตกใจมากตอนนั้น รู้ว่าเฮ้ย!! hashtag ที่เราสร้างขึ้นมา คนดูเป็นล้านกว่าวิว

หลังจากนี้เราก็เลยคิดว่า ผู้ป่วยแน่ๆ หรือคนที่สิ้นหวังแน่ๆ มาใช้ hashtag ของเรา เลื่อน feed ดู แล้วเห็นจริงๆ ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ที่กำลังนั่งดูเราอยู่”

เขาเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น เดิมทีทำงานเป็นอดีตบรรณาธิการ และพิธีกรช่องหนึ่งมาก่อน พฤติกรรมชีวิตประจำวันของเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับงาน จนทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ


“คือต้องบอกว่า ตามที่เหมาได้รับข้อมูลจากคุณหมอ คือ ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งได้ เพราะทุกคนมีเชื้อมะเร็งอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายเราใช้หนักจนเกินไป มีความเครียดเกิดขึ้น หรืออาหารที่เรารับประทานเข้าไปมันมีสารพิษต่างๆ ตกค้างในร่างกาย แล้วเซลล์ในร่างกายของเราไม่สามารถที่จะกำจัดมันได้ เหมือนกับร่างกายของเราไม่สามารถที่จะต่อสู้กับมันได้ มันกระตุ้นให้เกิดเป็นมะเร็ง แล้วคนที่ป่วยเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะไปรู้ในระยะที่ 4 หรือระยะลุกลามไปแล้ว


เนื่องจากว่าไม่ได้สังเกตตัวเองว่าตัวเองมีความผิดปกติในร่างกายเกิดขึ้น พอไปพบคุณหมอปุ๊บ อาการส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกินจะเยียวยาในการดูแล คุณหมอพูดแบบนี้นะครับ เพราะว่าการเป็นมะเร็ง ภายใน 3 เดือนเท่านั้น ถ้ามันเกิดการลุกลาม อวัยวะสำคัญต่างๆ ในร่างกาย ส่วนใหญ่จะโดนทำลายไปทันที

คือก่อนหน้านี้จริงๆ ทำงานก็มีเป็นพิธีกรบ้าง เคยทำงานในช่องทีวีมาก่อน และมีร้องเพลงมาก่อน คืองานหลากหลายมากในวงการ รวมถึงการเป็นบรรณาธิการให้นิตยสารเล่มหนึ่งด้วย ในระหว่างนั้นเราก็ทำงาน ต้องบอกว่าภาวะของร่างกายตัวเองมันเหมือนกับเราจะกินอะไรก็ได้เพื่อให้ร่างกายมันอิ่ม เพื่อให้รู้สึกว่าเราตื่นเช้ามา เรากินอะไรก็ได้ที่มันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามาก

เพราะว่าความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นด้วย แล้วตัวเราเองพักผ่อนก็น้อย นอนทีตี 2 ตี 3 ก็ไม่หลับ พอไม่หลับปุ๊บ กลางวันก็ไม่ง่วง หรือง่วงปุ๊บแล้วหลับไป กลายเป็นว่าได้งีบไปแป๊บเดียว ก็เลยมาสังเกตตัวเองว่ารู้สึกร่างกายแปลกๆ แล้วน้ำหนักก็ลดลง จากที่เป็นคนที่ออกกำลังกายอยู่แล้ว กินอะไรมันก็ไม่อ้วน กินอะไรก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองดูเป็นคนป่วยทันที คือรู้เลยว่าตอนนั้นหน้าตามันเปลี่ยนไปเยอะ และทำให้มันเกิดภาวะอย่างหนึ่ง คือ เรารู้สึกว่าเราเพลียง่าย เรารู้สึกว่าทำไมทำอะไรก็ไม่เหมือนเดิม”




ไม่หวั่นความตาย จาก “มะเร็ง”


“วันแรกที่เหมารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ความคิดในแวบแรก คือ เราคิดว่าแล้วผมจะรักษายังไง…”

ความเครียดของเขาส่งให้มะเร็งมาเยือนโดยที่ไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ ที่กำลังลุกลามในระยะ 3


“ตอนที่แสดงอาการ วันนั้นเราไปยกของหนัก ไปยกตู้แล้วรู้สึกว่าทำไมมันรู้สึกปวดมาก แต่สัญญาณที่รู้สึกว่าปวดท้อง มันเหมือนกับว่าวันไหนเราพักผ่อนน้อยๆ เราจะปวดตรงท้อง ปวดจนกระทั่งเราเดินไม่ไหว

แล้วเรารู้สึกแปลกๆ ว่าเกิดจากอะไร ตอนนั้นที่ปวดคิดว่าเกิดจากภาวะของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็เลยไปหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าถ้ามันอักเสบจริง มียาปฏิชีวนะตัวหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกาย ช่วยให้แผลมันสมาน คือให้ยาตัวนี้ประมาณเกือบปีหนึ่ง พอให้ปุ๊บเราก็รู้สึกว่าเราดีขึ้น เรารู้สึกว่าเป็นอาการอักเสบของร่างกาย ไม่เป็นอะไร จนกระทั่งวันที่ยกของหนักแล้ววันนั้นปวดท้องหนักก็เลยไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าถ่ายออกมาแล้วมันเป็นเลือด

เราคิดในใจ คิดตลกตัวเองเหมือนกัน เฮ้ย!! นี่กูเป็นริดสีดวงรึเปล่า คือมันเป็นไปได้ ถ้าเกิดว่ามีภาวะของถ่ายมาไปเลือด หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นริดสีดวงก็ได้

เราก็คิด ถ้ามันเป็นแค่ริดสีดวง มันก็ไม่น่าจะรักษายากอะไร ก็เลยหาข้อมูลในการรักษา ผมก็เลยตัดสินใจไปหาคุณหมอ แต่วันแรกที่พบคุณหมอ คุณหมอแค่นั่งมองหน้าอย่างเดียว คุณหมอก็ถามผมว่าที่บ้านมีใครป่วยเป็นมะเร็งไหมครับ”

แน่นอนว่า ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง สิ่งที่ตามด้วย คือ สภาวะจิตใจ ที่มองโรคนี้เป็นเพียงความตาย แต่เมื่อถามเขาแล้วนั้น สิ่งที่ได้กลับมา คือ กลับเป็นข้อคิดบวกๆ และการตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น มองหาวิธีต่อสู้กับโรคนี้

“ตอนนั้นมันนิ่ง ทุกอย่างมันมืดไปหมดเลย มันมืดแล้วมันรู้สึกว่า คือเราก็คิดเหมือนคนอื่นที่ว่าพอมะเร็งจะเป็นเหมือนเรื่องของความตาย พอเราเห็นหลายๆ ครั้ง คนที่ป่วยเป็นมะเร็ง หรือคนที่รักษา เราจะเห็นว่าสภาวะร่างกาย และสภาวะการต่อสู้กับยาจะให้ มันไม่มีความพร้อมเลย

แต่สิ่งแรกที่ผมรู้สึกตอนนั้น คือ ผมถามหมอกลับไปว่า ถ้าเกิดคุณหมอสงสัยว่าผมจะป่วยเป็นมะเร็ง ต้องทำยังไงบ้าง ตอนแรกที่ผ่าตัดไป คุณหมอก็บอกว่าชิ้นเนื้อตัดไปแล้ว ปรากฏว่ามันยังมีส่วนที่กินเข้าไปในลำไส้ คุณหมอขอเรียกว่ามะเร็ง”


จุดเปลี่ยนของชีวิตที่ไม่คาดคิดของเขา ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเกือบ 3 เดือน และต้องทำการรักษาการฉายแสง ควบคู่กับการให้คีโม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน คือ สภาพร่างกายที่เหนื่อยง่าย

“มันทำให้ตอนนั้น สิ่งแรกที่เราทำ คือ เราก็ใช้ออนไลน์ ใช้โซเชียลฯ ต่างๆ ในการดูข้อมูล กับคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ดูเนื้อหาต่างๆ ว่าผู้ป่วยจะต้องดูแลตัวเองยังไง ต้องมีการเริ่มต้นยังไง แต่สิ่งที่เราได้ส่วนใหญ่ มันจะเป็นแค่เหมือนข้อคิดเห็นต่างๆ เพราะคนที่ป่วยจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วคือเขาไม่อยู่กันแล้ว เขาไม่ค่อยจะอยู่มานั่งเล่าให้เราฟังแล้ว”

แต่กว่าจะเดินมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหมาจะต้องผ่านการประเมินจิตใจของการเข้ารักษา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

“คุณหมอบอกผมว่า เนื่องจากว่าในเคสของคุณนพรุจมีการให้คีโม พร้อมกับการฉายแสง เพราะฉะนั้นร่างกายต้องมีความพร้อมพอสมควรที่จะรับการรักษา แล้วถ้าคุณนพรุจพร้อม ยาจะให้จะเป็นตัวยาที่ค่อนข้างแรง ถ้าไหวก็คือรอด แล้วถ้าไม่ไหวก็จอดไปหลายรายเหมือนกันนะ”




“ร้องเพลง-สร้างความสุข” ละความกลัว!!


การรักษาโรคมะเร็งลำไส้จะตามมาด้วยผลข้างเคียง ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ สิ่งที่เขาทำคือ การปรับเปลี่ยนความคิดตัวเอง

“ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นอะไร มันเหมือนเป็นคุณกับตัวเองว่าเรารู้แล้วว่าวันนี้เราป่วยเป็นอะไร เราสามารถทำให้ตัวเราเอง เราคิดว่าเราจะปรับเปลี่ยนตัวเองยังไงกับการที่เราป่วยแบบนี้

แล้วรู้ว่าถ้าต่อจากนี้ ถ้าชีวิตของผม หรือการเจ็บป่วยของผมมันจะเป็นกุศล หรือเป็นประโยชน์ให้แก่คน ที่รู้สึกว่ากำลังป่วยอยู่ หรือว่ากำลังใจจากตรงนี้ ผมก็จะทำ คิดแค่นี้ คือคิดว่าเราจะทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกว่าเราจะต้องมีความสุขกับมันให้ได้ เราต้องอยู่กับมันให้ได้

คุณหมอก็บอกว่าฉายแสงในครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 15 จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ แต่เดี๋ยวหลังจากนั้นเดี๋ยวค่อยมาดูกัน เราก็ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ ครับ มันเหมือนนอนอยู่ในห้องเดียว ที่เราอยู่คนเดียว แต่ก่อนที่จะฉายแสงก็จะมีการตีเส้นต่างๆ พอหลังจากแสงที่ 15-16 ขึ้นไป ตอนนั้นร่างกายมันเปลี่ยนไปอีกคนเลย

ร่างกายผิวดำไหม้ แล้วก็เป็นแผล กินอะไรก็ไม่ได้ เกิดการอักเสบตั้งแต่ทางเดินอาหาร ตั้งแต่การกินข้าว ปวดไปหมดเลย เจ็บไปหมด จนกระทั่งถึงท้อง เข้าไปปุ๊บก็ถ่ายออกหมด ตอนนั้นต้องบอกว่าสภาวะร่างกายที่เคยคิดว่ามันไหว มันเริ่มรู้สึกว่าทุกคนคงกลัวเหมือนกัน แต่ต้องบอกว่ามันเป็นการรักษาที่คุณหมอบอกว่ามันจะเป็นทางรอด เราก็คิดว่าเอาวะ ถ้ามันคือทางรอด เราก็สู้”


อย่างไรก็ดี การรักษาทางกายด้วยคีโม และฉายแสง ที่สุดแสนทรมานแล้ว เขายังได้ยาเสริมกำลังใจให้ต่อสู้กับมะเร็งร้าย คือ การเข้าการเล่นแอปฯ TikTok จนทำให้ความคิดที่เคยจะยอมแพ้กับโรคนี้ แปรเปลี่ยนมาเป็นการลุกขึ้นสู้แทน โดยการทำให้ผู้อื่นมีความสุข สร้างพลังให้เขาอยู่ต่อ เป็นการเยียวจิตใจ

“มันเหมือนเป็นสิ่งแรกที่เราคิดก่อนที่เราเข้าโรงพยาบาลว่าเราจะทำยังไงก็ได้ ให้รู้สึกว่าการเจ็บป่วยมะเร็ง มันไม่ใช่เรื่องของความตายเสมอไปเราก็เลยหยิบโทรศัพท์ พอเราไปดู TikTok เราจะเห็นความสนุกสนาน การเต้น การลิปซิงก์ คนตลก มันทำให้เรารู้สึกเรายิ้มได้ในแต่ละวัน เราคิดในใจว่าถ้าเกิดวันนี้เราเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง แล้วเราแต่ภาพผู้ป่วยใน TikTok ที่นอนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง คือนอนจะตายแล้ว เราลองเปลี่ยนไหมว่าถ้าเราลองฝืนตัวเอง ลองเล่น TikTok ดู ก็เริ่มจากช่วงที่โควิด-19 ระบาด

มีล้อเลียนเรื่องโควิดบ้าง ล้อเลียนของการลิปซิงก์บ้าง แล้วช่วงนั้นมีแม่สิตางศุ์ที่กำลังดังๆ ก็มี cover เป็นแม่สิตางศุ์บ้าง แล้วคนที่เข้ามาดูเขาจะรู้สึกว่า เฮ้ย นี่คือเรากำลังป่วย แต่เรายังเล่น TikTok เรารู้สึกว่ามันเหมือนทำให้เรายิ้มได้ในแต่ละวัน”

เบื้องหน้าที่เรียกความสนุกสนาน และสร้างกำลังใจให้ผู้อื่นตลอดเวลา แต่เบื้องหลังนั้นเขากลับต้องต่อสู้การรักษาโรคที่เกือบถอดใจต่อการรักษา โดยทุกครั้งเขาจะใช้ความสุข ความบันเทิง ในการเยียวยาจิตใจให้ต่อสู้ผ่านโรคนี้ไปได้

“มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละพลังของโซเชียลฯ อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเอง พอเราทำออกไปแล้วก็ได้รับกำลังใจ เหมาต้องบอกนะครับว่า จริงๆ เรื่องของกำลังกายมันสู้ได้แน่นอน ถ้าเกิดกำลังใจของเรา พร้อมที่จะสู้กับมัน

ก่อนที่เราจะรักษากาย เหมาอยากให้ทุกคนที่รู้สึกว่าหมดหวัง หรือกำลังป่วยอยู่ ให้รักษาใจเราก่อน ถ้าใจเราไม่ป่วย เหมาเชื่อได้เลยว่ามันจะสามารถทำอะไรก็ได้ ตัวเราเองพอเริ่มทำ TikTok คือพอทำเสร็จปุ๊บ ทุกครั้งจะแบบไม่ไหวแล้ว ขอนอน …”


ไม่เพียงแค่นั้น สำหรับเหมาการเล่นแอปฯ TikTok และร้องเพลง จะช่วยเยียวยาจิตใจ แต่การมีคนฟังก็เป็นการส่งกำลังใจให้อย่างมหาศาล บางครั้งก็เป็นเพื่อน กล่อมเขาให้นอนหลับไปพร้อมกับเพลงในทุกๆ คืน

“ในช่วงนั้น เหมาก็ใช้เพลงนี่แหละเป็นตัวเยียวยาในตอนนั้น คือพอเราได้เห็นแบบนี้ปุ๊บ เราก็เลยคิดว่าจริงๆ แล้วผู้ป่วยมะเร็ง หรือผู้ป่วยอะไรก็ตาม สภาวะจิตใจมันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ต่อให้วันนี้เราคิดว่าตัวเองจะตายแล้ว ก็ขอให้ตายอย่างมีความสุข มันมีช่วงหนึ่งที่เหมาคิดถึงเรื่องความตาย ผมเป็นผู้ป่วยที่แพ้ยา ในริสต์แบรนด์ที่ใส่เป็นสีเหลืองซึ่งเป็นริสต์แบนด์ที่ค่อนข้างต้องระมัดระวังมากๆ จะต้องให้ยาแต่ละครั้ง ต้องมีคุณหมอหรือพยาบาลคอยนั่งเฝ้า


มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมแพ้ยาหนัก จนถึงขั้นหายใจไม่ออก ก็หมดสติไป แล้วเขาใช้อะดรีนาลีน เพื่อให้ฟื้นกลับคืนมา ตอนนั้นหลับตาไป หมดสติแล้ว แต่ก็บอกตัวเองว่าเราจะตายสภาพนี้ไม่ได้ เราต้องยิ้มไว้ก่อน ยิ้มแล้วเราหลับไปก่อน คือเราตายสภาพให้คนมารู้สึกว่าสงสารไม่ได้ เราต้องตายอย่างมีความสุข

มีเพลงหนึ่งผุดเข้ามาในหัว เธอผู้ไม่แพ้ เราก็ต้องฮัมเพลงนี้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งทุกคืนก่อนจะนอน เพลงนี้จะอยู่ในหู แล้วนอนหลับไปพร้อมกับเพลงนี้ทุกคืน แล้ววันที่ไปฉายแสง วันที่พยาบาลกับคุณหมอบอกว่าสู้ๆ นะ ตอนนั้นสภาวะจิตใจเราต้องบอกว่า เราเคยบอกหมอว่าเราไม่รักษาต่อแล้วได้ไหม คุณหมอก็ถอดคีโมเข็มสุดท้าย ณ ตอนนั้น เข็มที่ก่อนออกจากโรงพยาบาล



คุณหมอบอกว่า ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะคืนยาตัวนี้ให้กับคุณหมอก็แล้วกัน แล้วเรามองดู เอาวะ มันแค่สุดท้ายแล้ว ไปต่อ สู้ต่อ จนกระทั่งฉายแสง และคีโมจนครบหมด ฉายแสงทั้งหมด 27 ครั้ง คีโมไปทั้งหมด 34 ลิตร 17 หลอด 2 เดือนเต็มๆ ยังไม่รวมการพักฟื้น การรักษาหลังจากที่ให้ยา กับการฉายแสงอีก”


สุดท้าย ชายผู้พิชิตมะเร็งได้ฝากข้อคิดและกำลังใจไปยังผู้ป่วยและคนที่ท้อแท้ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาสู้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และฝากเรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกคน โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงเช่นเขา

“หลังจากออกจากโรงพยาบาลมา ต้องบอกว่ามะเร็งคือการปรับเปลี่ยนตัวเอง มะเร็งไม่ใช่ความตายเสมอไป วันนี้ถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกิน การนอน การพักผ่อน การออกกำลังกาย พยายามฝืนตัวเอง พยายามอย่าเป็นผู้ป่วยที่นอนติดเตียงอยู่ตลอดเวลา

พยายามตื่นเช้ามา แล้วพยายามเดิน จาก 1 ก้าว เป็น 2 ก้าว จาก 2 ก้าว เป็น 3 ก้าว 4 ก้าว จะนับก้าวทุกวัน จนกระทั่งระยะเวลาที่เรารู้สึกว่าเราเริ่มเดินเยอะมากขึ้น เวลาไหนที่เราเดินได้มากขึ้น แสดงว่าร่างกายเราเริ่มมีการปรับตัวเองมากขึ้น เพราะฉะนั้น การดูแลของเหมาเองเริ่มจากใจ แล้วก็เริ่มจากกาย ที่เราต้องพร้อมในการที่ต้องต่อสู้กับมันต่อ


กำลังใจดีที่สุด คือ กำลังใจจากตัวเราเองนะครับ ถ้าวันนี้เราไม่เริ่มสร้างกำลังใจจากตัวเราเองแล้ว คนอื่นจะให้กำลังใจจากเรายากมาก จะฝากคำคำหนึ่งไว้ ความอัศจรรย์ที่สุดของมนุษย์ คือ การทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำไม่ได้ สำเร็จ”






สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Mao Noppharuj”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น