“เราหายใจเพื่อพ่อกับแม่” เปิดใจอดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่มีสัญญาณเตือน รู้ตัวอีกทีถึงระยะที่ 3 เป็นหนักจนหมอให้ทำใจ แต่ปัจจุบันรักษาจนหายขาด เผยยาดีพิชิตโรคร้ายคือ “ธรรมะ - กำลังใจจากครอบครัว”
เหมือนฟ้าผ่ากลางใจ ตรวจพบ “มะเร็งต่อมน้ำหลือง”
“ตอนนั้นไม่เชื่อว่าตัวเองเป็น เพราะมันไม่เคยมีอาการอะไรว่าเราจะเป็นมะเร็ง พ่อแม่เราไม่มีใครเป็นมะเร็งเลย มันไม่ได้มาทางพันธุกรรม แล้วเราเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ หลังจากรู้ผลที่เขาฟันธงแล้วจริงๆ ว่าเป็นมะเร็ง ทำใจไม่ได้ เราเป็นคนที่สดใสร่าเริงตลอด แล้ววันนึงมันดาวน์ เราไม่อยากให้เขาเห็นจุดนั้น เพราะกลัวเขาจะเป็นห่วงเรา”
“กุ๊กไก่-รชาดา พุ่มระชัฎร์” Broker อสังหาริมทรัพย์วัย 29 ปี และเจ้าของแฟนเพจ “เรื่องเล่า ผู้เอาชนะ - Cancel to Cancer” เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live หลังจากที่โลกออนไลน์ได้ส่งต่อประสบการณ์ในการต่อสู้กับ “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย” เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเธอหายขาดจากโรคร้าย และก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้ ด้วยกำลังใจจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่รักมากที่สุด ซึ่งก็คือ “ครอบครัว”
เธอได้เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการตรวจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองว่า “ตอนนั้นอายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบทำงานได้ปีเดียวค่ะ จู่ๆ เกิดเจ็บหน้าอก ไอก็เจ็บ หัวเราะก็เจ็บ มีก้อนแข็งๆ ขึ้นที่คอ ผ่านไปอีกอาทิตย์นึง มันขึ้นเป็นก้อนที่ 2 และ 3 เลยรีบไปหาหมอ หมอก็ขอเอ็กซเรย์ ปรากฏว่ามันมีข้างในอีกที่เป็นก้อนใหญ่ ก็เลยต้องรีบทำการผ่าตัดที่คอ เพื่อเอาผลชิ้นเนื้อที่คอไปตรวจ
แต่ตอนผ่าตัดคุณหมอฉีดยาชา ไม่ได้วางยาสลบตอนผ่าตัด 4 ชั่วโมงนั้น เรามีสติดีทุกอย่าง แล้วตอนที่เขาเอามีดกรีดเพื่อเอาก้อนเนื้อออก ยาชามันยังไม่ทันออกฤทธิ์ มันเข้าไปลึกแล้วประมาณ 11 ซม. ซึ่งเราเจ็บมากๆ แล้วระหว่าง 4 ชั่วโมงนั้น เขาก็ไม่ได้พูดไปในทางที่ดี เขาพูดว่า ลักษณะก้อนเนื้อมันไม่ใช่ซีสต์นะ มันอาจจะเป็นมะเร็ง เราก็เลยร้องไห้หนักมากในห้องผ่าตัด
เราไปอ่านรีวิว ส่วนใหญ่คนที่เป็นมะเร็งไม่รอดนะถ้าให้คีโม มันจะทั้งผมร่วง เป็นแผลในปาก อาเจียน เล็บมือเล็บเท้าหลุด ดำ มันรุนแรงมาก บวกกับต้องกลับไปเจอหมอคนเดิม เลยมีคนแนะนำว่าแพทย์แผนทางเลือก มีคนหายเยอะ คนไหนที่หมอบอกว่าจะตายก็มารักษากับหมอคนนี้แล้วหาย เราก็มีความหวัง เพราะตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าไปทางไหนจะรอด”
เมื่อเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีในตอนผ่าตัดจากแพทย์แผนปัจจุบัน กุ๊กไก่จึงเบนเข็มไปที่แพทย์ทางเลือก ทว่า...เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะนอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว อาการของโรคร้ายกลับทรุดหนักลง แล้วมีผลพวงจากการแพ้ยาสมุนไพรร่วมด้วย
“เจอในระยะที่ 3 มัวแต่ไปกินยาสมุนไพร ปรากฏว่าเราแพ้รุนแรง น้ำเหลืองมันกระจายเร็วมาก เป็นแผลเต็มตัวตามก้อนเนื้อที่มันปูดออกมาเป็นน้ำเหลืองไหล ตอนนั้นคิดว่าคงจะไม่รอดแล้ว เพราะเป็นไข้ขึ้นสูงทุกวัน น้ำเหลืองมันไหลเยอะมากๆ เต็มตัวไปหมด มันหนักขึ้นทุกวันค่ะ ก็เลยคุยกับพ่อแม่ว่าจะกลับไปรักษาที่เชียงใหม่ ไปให้คีโมฯก็ได้ อยู่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ตัดใจไปเลย
ใน 3 เดือนกลับมาอีกทีก็เข้าระยะ 4 แล้ว คุณหมอเลยบอกว่าให้คุณพ่อคุณแม่ทำใจนะ เพราะว่ามาในตอนที่มันแย่มากๆ แล้ว แต่จะขอเจาะไขกระดูกสันหลังว่ามันลุกลามไปถึงตรงนั้นรึยัง จุดที่อันตรายที่สุด เพราะถ้ามันเข้าไปแล้ว โอกาสที่จะรักษาต่อมันไม่มี ปรากกฎว่ามันยังไม่ลุกลามไปถึง คุณหมอก็นัดทำคีโมฯทันที
span style="color: #000000;"> ครั้งแรกหมอบอกว่ามันจะปวดแสบปวดร้อน เราก็ทำใจไว้ แต่ปรากฏว่ามันทรมานมาก เหมือนฉีดน้ำกรดเข้าเส้นเลือด เราเตรียมความพร้อมมาระดับนึงแล้ว ลองอมน้ำแข็งตอนให้คีโมฯแล้วหายใจทางปาก จิบน้ำมะพร้าวไฟดับร้อนใน เพราะคนที่เขาไม่รู้เขาอั้นไว้แล้วไม่หายใจระบายความร้อน ปากเปื่อย คลื่นไส้อาเจียน แต่ของกุ๊กไม่เป็น ทุกอย่างมันผ่านไปราบรื่น
ผลข้างเคียงคือเส้นเลือดที่เคยเจาะให้คีโมฯมันดำไหม้ ถ้าหงายแขนมาผิวมันไม่ได้ดำ ตอนนี้หายแล้วค่ะ เหลือรอยจางๆ แต่ของกุ๊กเป็นอะไรที่โชคดีมากที่ถูกกับคีโมฯตั้งแต่เข็มแรก ภายใน 7 วันก้อนเนื้อที่ปูดขึ้นมันยุบอย่างเห็นได้ชัด ผมก็ร่วงแต่แค่บางลงแค่นั้น แต่กุ๊กไปโกนผมเพราะคิดว่าหมอคงให้ 12 ครั้ง เผื่อไว้ก่อน โกนนำไปก่อน(หัวเราะ) ปรากฏว่าหมอให้แค่ 8 ครั้ง ผมไปแล้ว”
เมื่อทีมข่าวถามว่า คิดว่ามะเร็งของเธอเกิดจากอะไร อดีตผู้ป่วยมะเร็งก็ตอบว่า เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตล้วนๆ
“ของกุ๊กเกิดจากการกินอาหารซ้ำ กุ๊กกินกะเพราปลาหมึกไข่ดาวทุกวัน แล้วปลาหมึกมันมีสารก่อมะเร็ง มันน่าจะแช่ฟอร์มาลีนมาบ้าง แล้วเราเป็นคนชอบกินกะเพราปลาหมึก กินทุกวันตั้งแต่จำความได้ บวกกับความเครียดเรื่องงาน แรงกดดัน พักผ่อนไม่พอ แล้วก็มีปาร์ตี้กินเหล้ากับเพื่อน ทุกอย่างมันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด มันไม่ใช่ว่ากินกะเพราปลาหมึกอย่างเดียว”
ครอบครัว - ธรรมะ ยาดีต้านมะเร็ง
“สิ่งที่ทำให้เราอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ 1.กำลังใจของคนในครอบครัว 2.ความเชื่อ พอเราอยากหายใจเพื่อใครสักคน เราจะบอกกับตัวเองว่า หายเถอะ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำเรื่องดีๆ ให้คนในครอบครัวสักครั้งนึงแล้วค่อยตาย พอเราได้ไปปฏิบัติธรรม เราจับตัวเองเร็ว พอโกรธเรารีบหยุดการกระทำทุกอย่าง เรามีเป้าหมายเดียว เราหายใจเพื่อพ่อกับแม่ เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้เราเสี่ยงต่อความเครียด เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เราหยุดทุกอย่าง จับความรู้สึกตัวเองให้เร็วที่สุด”
นอกจากการรักษาทางกายด้วยคีโมฯแล้ว เธอยังได้ยาเสริมกำลังใจให้ต่อสู้กับมะเร็งร้าย คือการเข้าวัดปฏิบัติธรรม จนทำให้ความคิดที่เคยจะยอมแพ้กับโรคนี้ แปรเปลี่ยนมาเป็นการลุกขึ้นสู้แทน
“ตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เข้าวัดก็เลยไปปฏิบัติธรรม ไปบวชเป็นแม่ชีเลย เพราะไหนๆ โกนผมแล้ว เลยบวชทดแทนพระคุณให้พ่อกับแม่ไปเลย ก็เทียวไปเทียวมาระหว่างวัดกับโรงพยาบาล ตอนที่เราบวชเราก็ได้ข้อคิดมา เราอยู่กับมันได้ เราให้มันเป็นเพื่อนเราได้ หมอไม่ต้องซีเรียสว่าเราจะเสียใจ คุณหมอทำเต็มที่ที่สุดแล้ว
กุ๊กฉายแสงทั้งหมด 32 ครั้ง ตอนที่หมอฉายแสงครบแล้ว กุ๊กยังเหลือ(ก้อนเนื้อ)อีก 4 ซม. หมอบอกว่าให้ทำใจนะ เพราะเรามารักษาช้าเกินไป ถ้ามันโตขึ้นก็ให้คีโมฯใหม่ แต่ถ้ามันอยู่กับเราแล้วไม่โตขึ้น ก็อยู่กับมันต่อไป อยู่ช่วงปอดกับหัวใจค่ะ ก้อนใหญ่นั้นเป็นอะไรที่รักษายากมากๆ มันมีขนาดใหญ่เกินไปที่ฉายแสงแล้วมันจะหมด
ตอนที่เราบวชเราก็ได้ข้อคิดมา เราอยู่กับมันได้ ให้มันเป็นเพื่อนเราได้ แล้วกุ๊กก็ใช้ชีวิตอยู่กับมันมาอย่างนี้มาประมาณ 1-2 ปี ปีแรกหมอจะนัดทุก 3 เดือน พอปีที่ 2 ก็จะปีละ 2 ครั้ง จนเข้าปีที่ 2 คุณหมอตกใจมากแล้วถาม “ไปทำอะไรมา ไปแอบกินยาสมุนไพรอีกหรือเปล่า” เราก็ตกใจนึกว่ามันก้อนใหญ่ขึ้น กลายเป็นว่ามันไม่มีแล้วนะก้อนนั้น ที่คุณหมอบอกว่าจะอยู่กับเราตลอด มันหายหมดแล้ว เวลาในการรักษาทั้งหมด 1 ปี 1 เดือน ตอนนี้หายขาดแล้วค่ะ”
สุดท้าย สาวผู้พิชิตมะเร็ง ได้ฝากข้อคิดและกำลังใจไปยังผู้ป่วยและคนที่ท้อแท้ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาสู้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และฝากเรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกคน โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงเช่นเธอ
“ชีวิตเปลี่ยนไปทุกอย่างเลยค่ะ เลิกกินเนื้อวัว เลิกกินของหมักของดอง แล้วก็ปล่อยวางกับการทำงานได้มากขึ้น ไม่ได้เก็บมาคิดทุกอย่าง ไม่ได้เอามาเครียดมาก ทำงานเจอปัญหาวันนี้ก็ปล่อยให้มันหมดวันนี้ แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ ตอนนี้ก็ทำงานเป็นเวลามากขึ้น ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ไปอยู่ในที่ที่มันมีความเสี่ยง
ในมุมของผู้ป่วยมะเร็งนะคะ กำลังใจมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าใจเราท้อ ต่อให้มีคนเก่งๆ แค่ไหนมาพูดให้เรารู้สึกดี หรือว่ามีหมอที่สุดในประเทศไทยมารักษาเขา เขาก็จะไม่มีวันหาย ถ้าใจเขาไม่สู้ กุ๊กอยากให้เขาคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลัง อยากให้เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าวันนี้มีโอกาสหาย จะทำอะไรเพื่อคนข้างหลัง และอยากทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองยังไม่มีโอกาสได้ทำ
สำหรับคนที่ทำงานเครียด แล้วก็ไม่ปล่อยวาง รุ้สึกไม่ชอบงานมากๆ หรือว่าไม่อยากทำงาน หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่ การเที่ยวกลางคืน การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อันนี้คนแข็งแรงยังไงก็แพ้นะคะ ร่างกายมันรับไม่ไหวจริงๆ ถ้าเกิดว่าเครียดด้วย เที่ยวด้วย นอนไม่พอด้วย สูบบุหรี่ด้วย มันไปหมดค่ะร่างกายถึงให้แข็งแรงแค่ไหนมันก็รับไม่ไหว”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Rachada Kookkai”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **