xs
xsm
sm
md
lg

ถูกบูลลี่ “ซานิ-หน้าหนอน” จนเคยคิดสั้น!! เผยมุมมืดเหตุผลที่คนวิจารณ์ “เสพติดศัลยกรรม” [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“คำพูดบางคำของคุณ คุณอาจไม่รู้ว่าคุณทำบาปด้วยการฆ่าคน” เพราะคำพูดสร้างคน ขณะเดียวกันก็ฆ่าคนได้ เปิดใจ “ซานิ” ผู้ถูกบูลลี่มาตลอดชีวิต “หน้าหนอน - ไส้เดือน!!” ทั้งรูปลักษณ์หน้าตา-เพศ จนคิดฆ่าตัวตาย ล่าสุด หน้าปัง-ร่างเป๊ะ-เอวเอส แต่กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโดนมองว่าติดศัลยกรรมหนัก กว่าจะเป็นตัวของตัวเองได้ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็น หยิบคำล้อเลียนมาเป็นแรงผลักให้ประสบความสำเร็จ!!






“คำบูลลี่” ยิงออกไป เอาคืนไม่ได้!!


“คนที่บูลลี่หรือพิมพ์อะไรออกไป หรือพ่นอะไรออกไป คำพวกนี้มันเป็นกระสุนนะ ยิงออกไปเอาคืนไม่ได้ ยิงไปหาคนเขาเจ็บแล้วเขาเอาคืนไม่ได้ เราไม่รู้หรอกว่าเราพลาดไปกระทบกับใจเขาหรือเปล่า ไปโดนกับสิ่งที่เขากำลังทุกข์ใจอยู่หรือเปล่า กำลังคิดอยู่หรือเปล่า


คำพูดบางคำของคุณ คุณอาจไม่รู้ว่าคุณทำบาปด้วยการฆ่าคนนะ คุณไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ซานิว่าคนที่มีอะไรจะทำ ชีวิตมีสาระ มีสิ่งที่มีค่า เขาจะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่น”


นับวันข่าวการฆ่าตัวตายจากการเผชิญความกดดันจากคำพูดยิ่งมีมากขึ้น ส่งให้คนที่โดนรังแกทนอยู่บนโลกใบนี้ไม่ไหว เหนื่อยจะสู้และแบกไว้ จึงเลือกจบชีวิตด้วยการ “ฆ่าตัวตาย” เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ อย่างกรณี “ชเว ซุก-ฮยอน” นักไตรกีฬาชาวเกาหลี ที่ต้องเผชิญความกดดันจากการบูลลี่ จนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในที่สุด


เช่นเดียวกับ สาวเปื้อนรอยยิ้มอยู่เบื้องหน้าทีมข่าวคนนี้ “ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ” ศิลปินมากความสามารถ วัย 34 ปี เจ้าของฉายา “สวย 100 หน้า” ได้เปิดใจให้ฟังว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการถูกรังแกผ่านคำพูดมาตั้งแต่เด็กจนโต โดยเรื่องที่ถูกล้อเลียนมากที่สุด คือเรื่องรูปลักษณ์ใบหน้า

“ถามว่าโดนบูลลี่ โดนเยอะไหม…เยอะ แต่เราเป็นคนมองโลกแง่ดีมาก ซานิเคยร้องไห้ ตอนที่คนด่าเยอะๆ ตอนช่วง AF6

คนด่าอีหน้าหนอน ไอ้หลายเพศ คือ เรียกว่าเป็นหนอน เพราะหนอนจะไม่รู้เพศ สมัยก่อนเขาจะใช้ว่ามันเป็นหนอน มันเป็นไส้เดือน มันเป็นกิ้งกือ คือหลายคำมากที่เราโดน โดยที่เขาไม่ได้มองว่าเราประกวดแล้วใช้ความสามารถเราเข้ามา


คือคนนึกอยากจะพิมพ์ว่า เขาก็พิมพ์ว่า โดยที่เราเองก็ลืมไปว่าเรากลับไม่รู้จักคนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ เราพยายามเข้าไปอยู่ในโลกดำๆ โลกหนึ่ง แล้วก็ไม่ยอมดึงตัวเองออกมา เพียงเพราะคำพูดเหล่านั้นพยายามกดๆ ให้เราลงไปเลยเรื่อยๆ”


เมื่อย้อนกลับไปเรื่องราวชีวิตของเธอนั้น กว่าจะมาถึงจุดที่หลายคนต่างยอมรับได้ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นเธอเป็นคนเฮฮา มีความสุขทุกอย่างในชีวิต แน่นอนว่าเบื้องหลังก็ต้องมีมุมเศร้า เธอบอกว่าเคยผ่านการคิดฆ่าตัวตายเพราะถูกเหยียดมาตั้งแต่เด็ก และได้รับแรงกดดันจนไม่มีความคิดเป็นของตนเอง

“ตอนที่เราประกวดแรกๆ มันมีความกดดันหลายอย่างมาก ด้วยความที่ชีวิตเราเคยเป็นอิสระมาก เราเคยเป็นนักร้องผับที่เราจะอยู่ตรงไหนก็ได้ เราจะทำอะไรก็ได้ ใช้ชีวิตยังไงก็ได้ แต่วันหนึ่งเรามาอยู่ในอาชีพของนักร้อง ศิลปิน เรามีคนรู้จักมากขึ้น ตอนเด็กๆ เราไม่คิดหรอกว่าการวางตัวมันจำเป็น หรือการ keep เรื่องส่วนตัวให้เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ มันจำเป็นนะ


เหมือนเราถูกจูงตลอดเวลา เหมือนไม่เป็นตัวเอง แล้วเราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำตามเขา เราอาจจะถูกว่าก็ได้ พ่อแม่เราอาจจะถูกว่าก็ได้ เราอยู่กับคำพวกนี้มานานมากเลยนะ ที่ทำให้เราไม่ได้เป็นตัวเอง จนเรารู้สึกเราไม่อยากอยู่แล้ว ทำไมเราต้องมาอยู่จุดนี้


ทุกอย่างถาโถมมาก ทุกคนกดดันว่าทำไมน้องไม่ทำแบบนี้ ที่จริงน้องต้องแต่งตัวแบบนี้ หวานอีกสักนิดนึงได้ไหม คือพยายามจะจูงเราไปทางที่เขาอยากจะเห็นให้เราเป็นแบบนั้น แล้วสุดท้ายเราบอกว่านี่ไม่ใช่ตัวเราเลย”

ตลอดเวลาที่ตารางงานแน่น ส่งให้สาวแกร่งคนนี้ไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยมีดอย่างที่คิดไว้ได้ แต่ก็ยังโดนบูลลี่ตลอดเวลาด้วยคำพูด ด้วยคอมเมนต์ที่ถาโถมเข้ามา  

“เราไม่ได้ลงมือทำ เรากลัวตายมากนะคะ เราว่าทุกคนกลัวตาย พอถึงวันหนึ่งจะตายจริงๆ แล้วยังไงวะ ยังไม่ได้ใช้เงินเลยนะ ยังไม่ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำเลย

สุดท้ายแล้วซานิว่าการเลือกฆ่าตัวตายเป็นทางออกที่หนีปัญหาที่สุด การกล้ายืนกับปัญหา และการกล้ายอมรับกับปัญหามันเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ซานิว่าเราชอบทำสิ่งที่ยากที่สุดให้กลายเป็นเรื่องง่ายที่สุด เพราะฉะนั้น เราเลยยอมเลือกที่จะยืนอยู่บนโลกใบนี้กับอะไรหลายๆ ที่มันถาโถมเข้ามาในตอนนั้น แล้วเรารู้สึกว่า...อย่ายอมแพ้”




ก้าวผ่านคำบูลลี่-คิดฆ่าตัวตาย!!


ไม่เพียงแค่นั้น เธอสะท้อนปัญหาการรังแกกันในสังคม ซานิบอกเล่าให้ฟังว่า ส่วนสำคัญที่ช่วยลดความรุนแรงได้ เริ่มต้นจากตัวเราเอง

“จะหวังให้คนพูดดีกับเราตลอดไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำตัวเองนั่นคือ เราคิดส่วนของเราให้ดีสุด เราทำส่วนของเราให้ดีที่สุด เวลาออกไปถนน ซานิจะบอกเพื่อนตลอด เพื่อนหลายคนที่อยู่รอบข้างเรา ที่เป็นศิลปินดารา แล้วบางทีเจอคำพูดหลายๆ อย่างที่โดนกระทบ คอมเมนต์โดนกระทบ

เราจะบอกเขาตลอดว่าสิ่งเหล่านี้เวลาเราเดินออกไปถนนข้างนอก ไม่มีใครมายืนด่าเลยนะ แต่มันคือโซเชียลฯ มันเป็นเหมือนกระจกบางอย่าง เช่น เรานั่งอยู่หลังพวงมาลัย เราไม่กล้าเปิดกระจกลงไปด่าคนหรอก แต่เราจะด่าหลังพวงมาลัย … ขับรถยังไงวะ แบบผู้หญิงแน่เลย


แต่เพราะมันมีกระจกรถกั้นอยู่ มันมีตัวครอบอยู่ มันก็ไม่ต่างอะไรจากโซเชียลฯ หรอก มันมีตัวครอบอยู่ แต่พอวันที่เราได้เจอหน้าเขาจริงๆ ไม่มีคนไหนที่กล้าเดินเข้ามาแล้วก็พูดกับเราในคอมเมนต์แบบนั้นเลย

ถ้าเรายังยอมที่จะอยู่ในโลกมืดๆ โดยที่ไม่ยอมดึงตัวเองออกมา มันก็จะอยู่ตลอดไปค่ะ ก็แค่เปลี่ยนความคิดเท่านั้นเอง”

ส่วนวิธีจัดการหรือวิธีรับมือกับคนที่เข้ามาบูลลี่ และเจอคอมเมนต์ด้านลบๆ สาวอารมณ์คนนี้เธอบอกว่าจะไม่เข้าไปอ่าน เพื่อเก็บเอามาใส่ใจ และเลือกที่จะใส่ใจเพียงแค่ด้านดีเท่านั้น

“วันหนึ่งมีแฟนคลับเขาเอาหนังสือธรรมะมาให้ เป็นหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี ด้วยความเราเบื่อชีวิตมาก แล้วเราไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ทีวีก็ไม่อยากเปิด เพลงก็ไม่อยากฟัง เราก็หยิบหนังสือมาเป็นหนังสือที่หัวเตียง แล้วเปิดไปหน้าสุดท้าย เป็นคำเกี่ยวกับคำขอโทษ กับคำขอบคุณ

คือ เราขอบคุณคำด่า เราขอบคุณคำติ ขอบคุณทุกๆ คน เพราะจะไม่รู้เลยว่าถ้าเราไม่มีคำพวกนี้ เราจะไม่รู้จักพัฒนาตัวเองเลย ณ วันนั้นเราเลยลุกขึ้นมาสู้ ว่าความจริงแล้วฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องยืนอยู่บนบรรทัดฐานของใครเลย และยืนอยู่ด้วยความถูกต้องด้วย




วันที่หยิบหนังสือท่าน ว.วชิรเมธี ออกมาอ่าน คือหยุดเลย ปิดทุกอย่าง ไม่ดู จบทุกสิ่ง ไม่เปิดดูอะไรใดๆ เลย แล้วทุกคนก็พยายามจะส่งมาให้ดูว่ามีอันนี้ๆ โกรธมากเลยนะ เราบอกไม่ต้องส่งเพราะว่าไม่ดู ไม่อยากรู้ เหมือนทุกวันนี้คนบอกว่าจะตายเมื่อไหร่อยากรู้ไหม ไม่มีใครอยากรู้ อยากใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของคนอื่น ซานิก็ทำแบบนั้น

เราไม่จำเป็นต้องรู้คำพูดของใครหรอก แต่ใช้ชีวิตไม่ประมาท ไม่เดือดร้อนคนอื่น แล้วเราคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเราแล้วก็พอ”




หน้าเป๊ะ เพราะเสพติดศัลยกรรม!?




จากสาวห้าว...สู่สาวเปรี้ยวที่มีพัฒนาการความสวย ตอนนี้เชื่อว่าใครที่ได้เจอเจ้าตัว คงต้องตะลึงในความสวยที่เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน เพราะล่าสุดหน้าเปลี่ยนจนหลายคนมองว่าเธอไปทุบหน้า ศัลยกรรมทั้งหน้า เพราะ “เสพติดศัลยกรรม”


“ถ้าเกิดคนถามเรื่องมุมมองว่าเสพติดศัลยกรรมไหม ซานิว่ามันแล้วแต่มุมมองของคน ซานิมองว่าความสวยเป็นความสวยที่เราเกิดยังไม่มั่นใจกับอะไร เราก็พยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองเพิ่มในด้านต่างๆ คือ ล่าสุดคนจะแชร์เรื่องพัฒนาการของซานิ คือมาไกลมาก

เราโชคดีตรงที่ว่า เพจหลายๆ เพจที่เขาเขียนถึงเรา เขาเขียนในแง่มุมที่ดีมาก ในแง่มุมที่พัฒนาตัวเอง ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในวงจรของศัลยกรรม หรือว่าดูดีขึ้นมาเพราะศัลยกรรม คือเรารู้สึกว่าโลกนี้มันเปิดกว้างขึ้น


คำว่าเสพติด จากที่หลายๆ คน แต่ก่อนเคยมองหรือดรามาว่าคนนี้มันคือการเสพติดศัลยกรรม แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่าถ้าฉันมีเงิน แล้วฉันไม่มั่นใจตรงไหน ฉันก็อยากจะทำ

เราก็เลยกล้าตอบว่า ถ้าเกิดว่าซานิเสพติดไหม เสพติดก็เสพติด เพราะว่าถามว่าเราทำแล้ว เราแฮปปี้ เราอยากกลับไปทำอีกไหม เราอยากทำตรงไหนอีก มันมีอาการที่อยากกลับไปทำอีก แต่ว่าโอเค ณ ตอนนี้เรายังพอใจกับแบบนี้อยู่

วันนึงซานิอาจจะอยากทำอันนั้นเพิ่ม อยากจะเสริมอันนี้ อยากจะทำอันนี้ เราบอกไม่ได้ไง เราเลยไม่รู้ว่า… ถ้าวันนี้เราตอบว่าฉันจะไม่ทำแล้ว อีกวันนึงไปทำ คนก็ต้องบอกว่าโกหก เรายังตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นเสพติดไหม เราเสพติดความสวยดีกว่า เสพติดการดูดีที่ทำให้เราดูดีขึ้น มีคนจ้างงานเราเยอะขึ้น มีคนเห็นเราแล้วประทับใจในการเจอเราครั้งแรกมากขึ้น”


ด้วยคำพูดที่ติดตลกทุกครั้ง และมักชอบแซวตัวเองอยู่เสมอ “ไม่ได้ทำ…หมอทำ” หรือ “จะได้มีลูกค้าเข้ามาจ้าง เพราะจำหน้าไม่ได้” เจ้าของฉายาสวยร้อยหน้ายอมรับว่าอย่างไม่ปิดบังว่ามีปมในอดีต และเป็นอีกหนึ่งสาวที่เลือกให้การศัลยกรรมมาพลิกโฉมความงาม

“ซานิไม่อายเลย คือ เราชอบแซวตัวเอง เพราะว่าเรารู้สึกว่าคนอื่นเขาก็มองหน้าเราดีเว้ย เขาพยายามสังเกตจมูกเรา พยายามสังเกตเรา

คือ บางคนถามครบทุกอย่างเลย คือจะบอกว่า ซานิไม่ได้ทำทุกอย่างนะ แต่ปากพูด มันเปราะเฉยๆ คือ เป็นคนชอบพูดว่าเปลี่ยนทั้งหน้าเลยนะคะ เปลี่ยนมาหมดเลย คือเอาจริงๆ ไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยความเราเป็นคนพูดเล่น ชอบคุยเล่น คนก็เลยคิดว่าเราทำหมด ไม่เปลี่ยนอย่างเดียวคือหู”

ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังไขข้อสงสัยถึงการทุ่มเงินหลายบาทโมหน้าใหม่ยกเซต เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเอง ลดคำครหาต่างๆ ที่เธอมักได้รับไม่ว่าจะเป็น “ไม่สวย” แบบนี้ คือ “หน้าหนอน”

ทว่า...เธอกลับให้คำตอบว่า จริงๆ แล้วทำเพียงจมูก 3 ครั้งเท่านั้น โดยครั้งที่ 3 ที่เห็นว่าเป๊ะปังขนาดนี้ เพราะเธอลงทุนบินไปศัลยกรรมไกลถึงประเทศเกาหลี

“ทำจมูกค่ะ ทำเอ็นโดรไทน์หน้าผาก ร้อยไหม โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ แน่นอนปกติที่เคยทำมา แต่พอเราอยู่กับมันนานๆ อยู่กับโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์นานๆ เราอาจจะรู้สึกว่าเราต้องอยู่กับเคมีมันนานมากๆ แล้วมันถึงวันที่… เฮ้ย ฉันอยากจะเปลี่ยนเลย ฉันอยากจะทำแล้วมันดีขึ้นเลย โดยที่โอเค พวกเคมีหรือการฉีดเหล่านั้น เราอาจจะหยุดไว้ก่อน

เราก็เลยตัดสินใจว่าเราทำตรงนี้ แต่เอาจริงๆ เราไม่ได้ทำเยอะ เราไม่ได้ทำคาง เราไม่ได้ทุบหน้า เราทำเหมือนปกติทั่วไปที่เขาทำกัน”


ส่วนจะมีการศัลยกรรมความงามเพิ่มอีกหรือไม่นั้น ซานิให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าตอนนี้ยังไม่มีแพลนทำอะไรเพิ่ม เพราะรู้สึกพอใจและมั่นใจกับใบหน้าในปัจจุบัน

“ตอนนี้ยังไม่มีเลยค่ะ เพราะว่าล่าสุดเราทำมาเราแฮปปี้แล้ว เราโอเคกับสิ่งตรงนี้ เพื่อนรอบข้างหรือใครหลายๆ คน เขาก็บอกว่าดีนะ ครั้งนี้ถือว่าโอเคเลย โดยส่วนตัวเราเรารู้สึกว่าแฮปปี้แล้ว ตอนนี้ถือว่าใบหน้าไม่มีอะไรแล้ว สำหรับรูปร่างก็ไม่ทำอะไรดีกว่า ไม่เคยคิดจะทำอะไรกับรูปร่างอยู่แล้ว”

ถามเธอว่ากว่าจะสวยเป๊ะปังเช่นนี้ สำหรับเธอแล้วมีวิธีการการเลือกบล็อกหน้าให้เหมือนใครไหม เธอให้คำตอบเอาไว้ว่าไม่เคยเลือกบล็อกหน้าเป็นพิเศษ ส่วนนี้จะเป็นการดูแลของคุณหมอที่จะต้องดูภาพรวมความเหมาะสมให้

“เวลาคนไปทำศัลยกรรม เขาก็มักจะพูดว่าขอบล็อกหน้าแบบคนนี้ ขอปากแบบคนนี้ จมูกแบบคนนี้ แต่ซานิจะไม่เคยเลย เพราะว่าเราหน้าไม่เหมือนใครเลย คือหน้าเราไม่ไปทางใดทางหนึ่ง มันเลยพูดยากว่าเราอยากจะได้จมูกเหมือนคนนี้จังเลย แต่พอเรานึกไปเราหน้าไม่คล้ายเขาเลย

อยากได้จมูกคล้ายฝรั่งคนนี้ แต่หน้าเราหมวยมาก เราก็เลยบอกแค่ว่าเราอยากได้สิ่งที่มันเข้ากับเราที่สุด ขอให้เขาดูโดยภาพรวม แล้วอันไหนที่เขาทำออกมา แล้วเขารู้สึกว่ามันโอเค

ซานิเชื่อว่าถ้าเกิดคนที่ทำให้เราจริงๆ แล้วเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ถ้าเรียกกระทั่งว่าเป็นหมอ เป็นแพทย์ ศัลยแพทย์ได้ เขาต้องดูภาพรวมให้เราแล้ว เราจะไปเถียงก็ลำบาก จะไปเถียงว่าไม่เอาค่ะหมอ เราอยากได้แบบนี้ แต่ความจริงแล้วหมอเขาอาจจะดูภาพรวมมาแล้ว ว่ามันเหมาะกับคุณแล้ว เราก็ต้องเชื่อเขา เชื่อเขาครึ่งหนึ่ง เชื่อตัวเองครึ่งหนึ่ง”


ทำศัลยกรรมที่ต่างประเทศ = เปลี่ยนโหงวเฮ้ง





“ซานิว่ามันเหมือนการเปลี่ยนโหงวเฮ้ง เปลี่ยนฮวงจุ้ย เปลี่ยนสถานที่ เหมือนเปรียบง่ายๆ ซานิเจอคนฮ่องกง คนฮ่องกงก็ถามทำไมคนไทยชอบมาไหว้พระที่ฮ่องกง แต่คนฮ่องกงชอบมาไหว้พระพรหมที่เมืองไทย คือซานิว่ามันคือความศรัทธา ความศรัทธาที่เราไปแล้วเราขอพร แล้วเราได้

เราไปแล้วเรารู้สึกว่าเราแฮปปี้ เหมือนเช่นครั้งนี้ซานิไปทำที่เกาหลี ซานิก็รู้สึกแฮปปี้จังเลย ถ้ามีโอกาส ถ้าเราอายุเพิ่มกว่านี้อีกสัก 10 กว่าปี แล้วมันหย่อน มันคล้อย สถานที่เราอยากกลับไป ก็อยากกลับไปที่เดิม อยากกลับไปทำ เพราะเราแฮปปี้กับมัน เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมคนจะต้องทำที่นี่ หรือทำที่ไหน ว่ามันจะดีกว่ากัน

ซานิอยากทำธุรกิจศัลยกรรมมาก อยากแนะนำคน แต่อย่างหนึ่งที่มันเสี่ยง คือ เราไม่รู้ว่าวันนี้เราแนะนำใครไป เขาเกิดพลาด ทำออกมาแล้วไม่เป็นที่พอใจของเขา สิ่งที่มันเกิดกระทบกับเรามันจะมีหลายอย่างมาก ซึ่งซานิไม่เคยมีผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย อาจจะบอกว่าเราโชคดีก็ได้ที่ดวงเรา ที่เราไปทำเราปลอดภัยทุกที่ ที่เราไปทำ เราศึกษาอย่างดีก่อนที่เราจะไปทำ ที่คนมาถามเรา บอกว่าพี่ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม

บางทีซานิไม่กล้าแนะนำนะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราแนะนำไปแล้วถ้าเกิดเขาทำออกมาแล้วเขาไม่พอใจ สุดท้ายผลกระทบมันตกมาที่คนที่แนะนำ เราบอกได้เราทำที่นี่ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณต้องไปทำที่นี่ แต่จะพูดทุกครั้งว่าศึกษาก่อน ไม่เห็นต้องซีเรียสเลยว่าจะทำที่ไหน เอาที่ตัวเองพอใจ แล้วสุดท้ายมันคือความพึงพอใจของคุณ ก็ต้องยอมรับในความพึงพอใจของคุณว่าคุณเลือกมันแล้วนะ”






กักตัวอยู่บ้าน “พัฒนาความสวย-อวดหุ่นแซ่บ”


“ซานิลดมาประมาณเป็น 10 โล ลดเยอะ แต่ว่ามันใช้เวลานานนะคะ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ถึง 4 เดือนนะคะ ที่จะลงมาแบบนี้ ไม่ได้ฮวบลงมา แล้วแบบฉันลดได้ขนาดนี้ ทุกอย่างผ่านการทรมานทั้งนั้น

กว่าจะสวย หุ่นดีอย่างวันนี้… ปฏิเสธไม่ได้ว่าความมีวินัยในตัวเอง และทัศนคติบวกๆ เป็นส่วนที่สำคัญ ส่งให้สาวเซ็กซี่ สวมเสื้อสีชมพูรายนี้ ที่เคยถูกบูลลี่ด้วยถ้อยคำรุนแรง ทั้งในเรื่องรูปร่าง หน้าตา ผ่านสมรภูมิการทำร้ายต่างๆ มาได้


“มันเกิดจากว่ากระโดดไปชั่งน้ำหนัก แล้วน้ำหนักขึ้น คือกางเกงตัวเดิมใส่ไม่ได้เลย คือ อึดอัด อะไรวะเนี่ย ฉันต้องซื้อไซส์ใหม่เหรอ แล้วก็เกิดจากว่าเราจะทำยังไงดี เราอ้วนมาก


แล้วเราไม่รู้ตัว เราใส่อะไรเริ่มอันนี้ออก เริ่มอึดอัด เริ่มเหนื่อย เริ่มทำงานแล้วเหนื่อย เราก็บอกตัวเองว่าเราต้องกลับมาดูแลตัวเองไหมก็เริ่มจากการค่อยๆ ดูแลตัวเอง เริ่มจากการมีคุณหมอมาคอยแนะนำว่าอันนี้ทำได้ อันนี้กินไม่ได้ อันนั้นทำไมได้ รวมทั้งหมดทุกอย่างประกอบกับใจเราด้วย พอใจเราได้ด้วย ทุกอย่างเราก็ทำได้ ค่อยๆ ทำได้เรื่อยๆ น้ำหนักก็ลงๆ มา

โชคดีที่โควิด ได้พัฒนาความสวยตัวเองเยอะมาก ทั้งหน้าตา ทั้งหุ่นหรืออะไรก็แล้วแต่ คนอื่นอาจจะบอกฉันโชคร้ายมากฉันเจอโควิด แต่เรากลับบอกว่า เฮ้ย!! ในความโชคร้ายนั้นมันมีความโชคดีของเราเสมอ”

จากปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เธอมองนั้น จะเต็มไปด้วยทัศนคติบวกๆ เสมอ

สาวรูปร่างดีที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์คนนี้ ให้คำตอบไว้ว่าใช้ช่วงเวลากักตัวอยู่ที่บ้าน พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้กลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น

“มันเกิดจากว่าซานิต้องรีวิวของเยอะมาก เพราะตอนนั้นซานิรับปากว่าจะช่วยทุกร้านที่เขาเปิดใหม่ มันจะมีหลายร้านมากเลย หนูทำงานที่ห้างฯ แต่ห้างฯ มันปิดพี่ หนูทำไม่ได้ หนูก็เลยมาเปิดร้าน มันเริ่มจากอย่างนั้น เขาก็ส่งอาหารมาให้

เราก็เริ่มรีวิว บางทีเรารีวิว เราบอกเขาว่าส่งก่อนเที่ยง เราอยากให้คนได้ทานตอนเที่ยงบ่าย พอเขาส่งมาตอน 11 โมงปุ๊บ เราก็รีบกลางของออกมาเลย เรากิน โอ้อร่อยทุกอย่าง กินเสร็จปุ๊บ รีบตัดวิดีโอให้เขา รู้ตัวมันอิ่มแล้ว

คือเหมือนมันลืมตัวเองว่าเราให้ความสุขคนอื่น แล้วเราอยากให้เขามีคนสั่งอาหารเขา มันก็เลยหลายเป็นเราอิ่มเร็ว เพราะเรามัวแต่มานั่งตัดต่อว่าเราจะทำยังไงให้ร้านขายแล้วแบบโอเค พอลงไอจีปุ๊บมารู้ตัวอีกที คือ อิ่มแล้ว ก็เลยกลายเป็นกินน้อยลง”


ถามถึงเคล็ดลับการดูแลตัวเอง เพื่อให้ได้หุ่นฟิตเฟิร์มอย่างเธอนั้น จะต้องพึ่งพาศัลยกรรมหรือไม่ เธอให้คำตอบเอาไว้ว่า ไม่มีการออกกำลังกายส่วนไหนเป็นพิเศษ และไม่ได้ทำศัลยกรรมร่างกาย เพื่อให้ได้หุ่นที่ดี

“วิ่งงานก็ถือว่าโอเคมากแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ซานิจะได้งานเหมือนจะต้องใช้แรงตลอดเวลา ถ้างานไหนอึด นึกถึงผู้หญิงอึด คือ มีรายชื่อเราทุกอัน มันก็เหมือนเราได้ออกกำลังกายไปในตัวอยู่แล้ว

ประกอบกับช่วงที่เราถ่ายเสื้อผ้า บางทีเราถ่าย เรายังไม่ได้มุมที่เราอยากจะได้ เหมือนคนออกกำลังกายนะ เราก็อยู่อย่างนั้นตลอด 3-4 ชั่วโมง ซานิใช้การทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าในการที่จะออกกำลังกาย เพราะเป็นคนทำเทรนเนอร์ไม่ได้ เรารู้สึกว่ามีตารางให้เราไม่ได้ เราเป็นคนไม่ชอบทำอะไรตามตาราง

แพลงก์มีตามปกติ บางทีเรานอนๆ เราก็ทำขึ้นมา หรือว่าตอนเช้าก่อนเราจะอาบน้ำ เราก็ยกแขน มีโยคะที่เราเคยทำ สักประมาณ 5 นาที เราก็เข้าไปอาบน้ำ

หรือบางทีเรานั่งอยู่บนโถส้วม เราก็ยืดนิดนึง เราก็ถือว่าเราก็ได้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อของเรา ซึ่งปกติที่จริง ก่อนหน้านี้ตอนที่ซานิผอมๆ คือ มีออกกำลังกายแบบฟิตมาก แล้วกล้ามขึ้น ทุกอย่างมันก็คาอยู่ ยังมีโครงอยู่ ก็กลับมาออกกำลังกายอีกนิดนึง มันก็เริ่มกลับมา”


นอกจากนี้ ในส่วนของการพึ่งพายาลดความอ้วน เธอมองว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยผ่านการอยากทดลอง อยากสวย สิ่งเหล่านี้จะต้องผ่านการศึกษาหลายๆ อย่าง

“คือถามว่าทุกคนเคยลองไหม ทุกคนเคยลองแหละ ผู้หญิงนะ มันต้องมีแหละ เอาอันนี้มาลองหน่อย ทำไมเขาโฆษณาแล้วมันโอเค มันมี แต่ว่าความเป็นจริงเราต้องดู ศึกษาอะไรหลายๆ อย่าง แล้วซานิว่าทุกๆ อย่างมันก็แอบอยู่ที่ใจลึกๆ ด้วย

เมื่อก่อนซานิกินขนมเยอะ อาจจะกินน้ำอัดลมตลอดเวลา เพราะทำงานเราเหนื่อย เราจะลดตรงนี้ แล้วมันช่วยอะไรบ้าง เสริมตรงนี้แล้วมันได้อะไรบ้าง มันก็คือการศึกษานั่นแหละทั้งหมด ไม่ว่าจะศัลยกรรมหรือหุ่น ทุกอย่าง คือการศึกษา และมีคนแนะนำ”




ซานิ = Queer มองรักไม่มีคำจำกัด


“ซานิเท่ากับ Queer ค่ะ ไม่มีคำจำกัด วันนี้สมมติว่าคบผู้หญิงอยู่ หรือว่าวันนี้คบผู้ชายอยู่ ก็ไม่ได้บอกอนาคตจะคบเพศไหน

เราไม่รู้จะพูดว่าอะไร เดี๋ยววันนึงมาดู สมมติแต่งงาน หย่ากับผัว มีแฟนเป็นผู้หญิงดีกว่า คือ Queer มันคือความรัก ใครที่ทำให้เรามีความสุข ใครที่ไม่เป็นภาระของชีวิต เรารับเข้ามา แล้วเรารู้สึกว่าไม่ทุกข์ ไม่เหนื่อยที่มีเขา รับเข้ามาเท่านั้นเอง”

ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีชื่อเสียง เลยไม่ค่อยจะมีใครกล้าเปิดเผยเรื่องรสนิยมทางเพศสักเท่าไหร่ ผิดกับเธอที่กล้าออกมาเปิดอกยอมรับตรงๆ ว่าเธอนั้นรักได้ทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่ได้มีกรอบว่าจะต้องชอบเพศไหน

“โลกใบนี้มันกว้างมากขึ้นแล้ว LGBTQ มันไปถึงคำว่า Queer คือไม่จำกัดคำว่าเพศแล้ว คนจะรู้จักว่า L คือ Lesbian, G คือ Gay, B คือ Bisexual …มี Queer คือ ณ ทุกวันนี้ซานิว่าโลกเรามันเป็นโลกที่มันเปิดกว้าง เรามองว่าคนดีหายาก

เราต้องคิดอย่างนี้ดีกว่า คนดีหายาก ถ้าเราเจอคนดีแล้ว ตกใจมากว่ามันไม่ใช่เพศที่เราถูกสร้างมา ก็อย่าคิดซะว่าผิดนะ เพราะความถูกต้องหรือความสุขที่แท้จริงของชีวิต คือ การได้ตอบโจทย์ตัวเองว่าเราต้องการอะไร แค่นั้นเลย”


โดยเมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นจากการเรียนในรั้วโรงเรียนหญิงล้วน แต่ซานิกลับไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนหลายเพศ และมีคำจัดเพศของตัวเธอเอง ซึ่งทำเอาหลายคนสงสัยว่าสรุปแล้วเธอมีรสนิยมชอบเพศไหนกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัดผมสั้น จนโดนคำกำจัดความว่าเป็นทอม

“มันแปลกดี ซานิไม่ได้มองว่าเป็นหลายเพศ หรือเราเป็นอะไร แต่เรามองแค่ว่าเราไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย


ด้วยความที่เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมา เราก็จะเห็นว่ามีลุ้นน้องน่ารักจังเลย มีรุ่นพี่น่ารักจังเลย มันเป็นความรักกุ๊กกิ๊ก แล้ววันนึงวันที่เราโตขึ้นมา เราก็เลยมองว่าความรักมันสวยงามไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็แล้วแต่ บางทีเราเห็น เพื่อนเราเป็นเกย์ เดินจูงมือกับแฟนเขา เราก็รู้สึกว่าน่ารักจังเลย

เราไม่เคยมองว่าเราต้องเรียกสถานะเขาว่า You คือ เกย์ You คือเพศที่ต่างจากเรา…ไม่ใช่ เราก็มองว่าเขา คือ เพื่อนเรา Just friend มันคือเพื่อน เพราะฉะนั้นมันจะเพศอะไรไม่สน นี่คือเพื่อน”

ศิลปินมากความสามารถคนนี้ เธอยังบอกอีกว่า เหตุผลที่ใช้คำว่า Queer แทนที่จะใช้ Bisexual, Lesbian ฯลฯ เพราะจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ตลอดเวลา เพราะบางคนอาจจะยังไม่มั่นใจ ว่าตัวเองเป็นลักษณะนี้ แต่รู้ว่าไม่ได้ชอบแค่เพศตรงข้าม ซึ่งในอนาคตมันเปลี่ยนแปลงได้

“แรกๆ ที่จบจาก AF6 คำแรกคือ เพศไหนคะ งงมาก ตกใจมาก อะไรวะเพศไหน คืออะไร ต้องตอบคำถามว่าอะไร คือคิดมาตลอดว่าต้องตอบว่ารู้สึกยังไงที่ได้รับรางวัลใช่ไหม แต่คำถามแรก คือ ตกลงเพศไหนคะ


เพราะเราผมสั้นด้วย แล้วในบ้านเขามีสัมภาษณ์ และมีการขุดเอารูปขึ้นมา เราเคยถ่ายรูปนิตยสารกับผู้หญิง เป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิง Exclusive for all ladies คนก็ตกลงเพศนี้แน่เลย แล้วเราเคยทำงานอยู่ในร้าน Exclusive for all ladies อีก องค์ประกอบมันครบ เถียงไม่ได้

เราก็บอกตรงๆ เลยว่าเคยคบมาหมด ผู้ชาย ผู้หญิง แล้วไม่เคยปฏิเสธว่าฉันไม่เคยคบเพศไหน แล้วกลายเป็นคนก็แฮปปี้ ที่เรากล้าที่เปิดเผยเรื่องนี้ ในโลกตอนนั้นที่คนไม่กล้าพูดเลยด้วยซ้ำไป“

อย่างไรก็ดีเธอยอมรับว่า ในอดีตคนในสังคมมองว่าคนหลากหลายทางเพศเป็นคนที่ผิดปกติ และสังคมตอนนั้นไม่เปิดกว้างมากนัก

“เราว่ามันยังไม่ไปถึงไหน คือหมายถึงกฎหมายยังไม่ถูกจัดการให้อยู่ในระบบที่พร้อมจะทำอะไรแล้ว แต่คนก็เถียงกันแล้ว ฉันจะเอาแบบนั้น มันยังไม่ถึงขั้นตอนแรกเลย มันยังไม่เข้ากระบวนของกฎหมายที่แท้จริงค่ะ เพราะฉะนั้นมันก็พูดยากเหมือนกัน

แล้วก็ไม่อยากให้เพศทางเลือก ก็คือ LGBTQ มาเถียงกันเอง เพราะสุดท้ายเราคือกลุ่มเดียวกัน ที่เราจะพยายามจะขับเคลื่อนให้กฎหมายเหล่านี้เกิดขึ้น ให้ทุกคนได้เท่าเทียมกัน และเราทราบมาตลอดเลยว่าเขาพยายามจะขับเคลื่อนกฎหมายเหล่านี้ให้มันไปได้ ให้มันอยู่ในกระบวนกฎหมายทั้งหมด เราเข้าใจหมดเลยว่าทุกคนต้องการอะไร ต้องการการยอมรับ แต่ซานิว่า เชื่อสิโลกใบนี้ยอมรับเราแล้ว”


ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังมองว่าทุกวันนี้กลุ่มคนหลากหลายทางเพศทั่วโลก มีการขับเคลื่อนความเท่าเทียมมากขึ้น ประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน มีการออกมาเรียกร้องถึง พ.ร.บ.คู่ชีวิต คู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนกันได้ เธอมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ก็ขอเป็นอีกนึ่งกระบอกเสียง เรื่องเพศไม่ควรที่จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แล้ว อยากให้มองเป็นเรื่องปกติในสังคมเท่านั้น

“คือโลกปัจจุบันนี้ยอมรับเราแล้ว ซานิว่ากฎหมายมันเป็นเรื่องรองเลยนะ แต่ว่าในโลกของเรา เราเริ่มที่จะรักเพื่อนที่มีสไตล์แบบนี้ …ถามว่าทำไมผู้หญิงมีจริตจะก้านเหมือนสาวประเภทสองนิดนึง ถึงเพื่อนชอบจังเลย มันสนุกจังเลย เพราะคนเหล่านี้เป็นคนที่สนุกมาก


โลกยอมรับแล้วค่ะ เราแค่รอให้กฎหมายยอมรับ แต่ไม่ต้องถึงขั้นเถียง เพราะสุดท้ายแล้วถึงวันนั้นคนที่จะได้เฮ ก็คือกลุ่มเราทั้งหมด”




ผ่าโลกวงการเพลง ไร้พื้นที่แสดงผลงาน!!?


“ตอนนี้ทำเพลงอยู่ ทำกับสงกรานต์ The VoiceTH จริงๆ ทำออกมาแล้ว คือ ตอนนี้ซานิเรียกว่าเป็นนักแสดงอิสระ เป็นนักร้องอิสระ คือไม่ได้มีค่าย เพราะฉะนั้นก็จะทำอยู่ในช่อง Youtube ของตัวเอง ตอนนี้เขาก็มาทำเป็นของช่องของตัวเองกันหมด”

กว่า 10 ปี ที่ซานิได้โลดแล่นอยู่กับวงการเพลงในฐานะศิลปิน ผ่านการประกวดร้องเพลงรายการ True Academy Fantasia season 6 (AF6) ซึ่งนับว่าเป็นระยะนานหลายปี

เมื่อให้เธอมองถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป กลับไม่มีพื้นที่ให้นักร้องจริงๆ สำหรับเธอให้คำตอบเรื่องนี้ว่า ถ้าการร้องเพลงยังคงเป็นความสุข เธอจะทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้นพอ

“เราไม่ทิ้งหรอก (การร้องเพลง) มันเป็นสิ่งที่สุดตั้งแต่เราเกิดมา เราประกวดมา เรามาด้วยแนวทางนี้ เรามาทางนี้ของเรา

ซานิยอมรับเลยว่าเพลงตัวเองไม่ใช่เป็นเพลงที่ดัง ที่คนนึกออกว่าซานิร้องเพลงอะไรวะ คนก็ยังนึกอยู่ แต่ถ้าถามว่าซานิประกวดอะไรมา …ประกวด AF6 คนก็จะจำได้ว่าเขาร้องเพลงดีนะ แต่เพลงอะไรฉันจำไมได้




แต่ความสุขซานิไม่ได้อยู่ตรงนั้น ความสุขที่แท้จริงมันคือเราออกไปได้จับไมค์ เราได้ร้องเพลง มีวันที่แฟนคลับเราไม่ได้ตามเลย แล้วเราขึ้นไปร้องเพลง ซานิหลับตาทุกครั้งก็บอกตัวเองว่าฉันคือซานิคนเดิมที่ไม่ได้เป็นนักร้อง ที่ไม่ได้เป็นศิลปินที่ใครรู้จักเลย เราอยู่ได้ เรามีความสุข แค่นั้นเลย ไม่ได้คิดว่าชีวิตนี้ต้องการอะไรขนาดนั้น”

ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ยอมรับว่าด้วยระบบอุตสาหกรรมเพลงไม่มีพื้นที่อย่างต่างประเทศ อาจจะทำให้ไม่เอื้อไปสู่ความฝันเส้นทางนักร้อง ส่งให้หลายคนต้องเปิดช่องยูทูปมีพื้นที่แสดงผลงานเป็นของตัวเอง

“มันพูดยากเรื่องนี้ มันไม่ได้อยู่แค่เราอย่างเดียว ไม่ได้อยู่แค่วงเล็กๆ มันต้องเป็นวงกว้างเหมือนกันที่เราจะปรับ หรือจะเปลี่ยน เพราะฉะนั้นเราทำได้เท่านี้ เราเป็นแค่พลังขับเคลื่อนตัวเล็กๆ ที่เราเดินเท่าไหน เราก็ยังยืนหยัดว่าจะเดินเท่านั้นก็พอแล้ว

ถามว่าน้อยไหม ก็น้อย ถามว่าโลกฟังอะไรก็เดาไม่ได้ คนฟังอะไรเดี๋ยวนี้ก็เดาไม่ได้ แล้วอยู่ดีๆ …มาดัง มันเดาอะไรไม่ได้ เดี๋ยวนี้เดาใจคนก็เดาใจยาก เพราะฉะนั้นก็ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ดีที่สุดแล้ว ซานิก็จะบอกศิลปินทุกคนที่เป็นเพื่อนเรา แล้วเขาร้องเพลงเพราะมากๆ เราก็จะบอกว่าอย่าหยุดนะ อย่าท้อนะ คนจะฟังเท่าไหร่ ทำเถอะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารักจริงๆ”


อย่างไรก็ดี เมื่อถามเธอว่าสุดท้ายแล้วเราไม่มีพื้นที่ในการร้องเพลง และผลงานของเธอที่คนรู้จักไม่ใช่การร้องเพลง เธอเปรยรอยยิ้มก่อนให้คำตอบไว้ว่า แค่เข้าใจสัจธรรมที่เกิดขึ้น สำหรับเธอยังคงสนุกกับทุกผลงานที่ได้ทำ และเต็มที่เหมือนเดิม

“ณ วันนี้คนก็ไม่ได้มองว่าเราร้องเพลง ณ วันนี้คนก็มองว่าเป็นดารา เป็นพิธีกรไปแล้ว คนก็จ้างงานพิธีกร ให้ไปไลฟ์ให้หน่อย ด้วยความที่เราพูดเก่ง เราก็โอเคนะ เราอยู่ในงานไหนก็ได้

ซานิเป็นเหมือนกิ้งก่า เปลี่ยนสีไวมาก และเราก็สนุกกับทุกงาน และเราก็ยังแฮปปี้กับงานที่เรามี ถามว่าเรามีงานร้องเพลงไหม ก็ยังมี แต่ว่า ณ วันนี้มันคือ สถานการณ์แบบนี้ มันไม่มีอยู่แล้ว ศิลปินมันไม่มีอยู่แล้ว ยาก ดรามาก็เกิด ทุกอย่างอันตราย มันหลายอย่างค่ะ องค์ประกอบหลายอย่าง ก็แค่เข้าใจโลกเท่านั้นเอง”




กว่าจะมาเป็นซานิ มีมุมมองบวกๆ คิดได้ว่า “ฉันจะทำให้สุด” กับทุกอย่าง เธอคนนี้ ก็เคยผ่านจุดยากลำบากของชีวิต เพราะการโดนรังแกด้วยคำสนุกปากของคนที่มีความคิดลบๆ เธอได้ทิ้งทายให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาว่า ก่อนที่จะให้คนอื่นยอมรับในตัวเอง เราต้องยอมรับตัวเองเสียก่อน การได้เป็นตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

“ทุกวันนี้คือถ้าไม่สุดหยุดอยู่บ้านเลย เราบอกผู้จัดการเลยว่า วันนี้ไม่ไหว เราก็ไม่ไป แรกๆ เราไม่เลือกนะ หลังๆ เลือกแล้ว แรกๆ เรา …เฮ้อ ไปก็ไป แต่เรารู้แล้วว่าถ้าเราเหนื่อย แล้วเราไปทำงานให้เขาไม่เต็มที่ เราก็ไม่อยากทำ กับทุกๆ เรื่อง เราอยากเต็มที่ แล้วเราก็จะทำให้ มันก็กลายเป็นว่าเราเริ่มใช้ชีวิตเป็นมากขึ้น เริ่มที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น

แล้วเราก็เริ่มดูแลสุขภาพตัวเอง พยายามดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น เพราะเราอยากอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ อยากจะให้ใช้เงินที่เราหามา เพราะเราก็ยังไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ แล้วเหมือนเราก็เก็บๆ เราก็ยังอยากใช้ เรายังอยากเที่ยว ยังอยากเห็นโลกให้ครบ

ยังอยากเที่ยวต่างประเทศ ยังอยากพาแม่ไป ในขณะที่ขาแม่ยังไหว มันมีหลายอย่างที่อยากทำ ถ้าไม่สุด หยุดอยู่บ้าน แต่ถ้าวันไหนคิดว่าจะทำ แล้วจะทำให้สุด เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่เหนื่อย เราไม่ชอบเหนื่อยกับการเป็นตัวเอง ถ้าจะบอกว่าให้เป็นซานิ เราก็แฮปปี้ เพราะไม่เหนื่อยเลยกับการที่เป็นซานิ ทุกวันนี้เราก็มีความสุขมาก สนุกมากที่ได้ใช้ชีวิต”






@livestyle.official ...“ซานิ” เผยมุมมืดเคยถูกบูลลี่ “หน้าหนอน” จนคิดสั้น!!... ##LIVEstyle ##ซานิaf6 ##ซานิaf ##stopbulling##bullie ##บูลลี่ ♬ original sound - LIVE Style



ถอดปลั๊ก-ปิดสวิตช์ …รางวัลชีวิต = นอน



 “เราดึงปลั๊กออกเลย แม่น้อยใจบ่อยมาก ที่เราไม่คุยอะไรเลย เราเหนื่อยนะ ถามแม่ก็ได้ เราเหนื่อยมาก บางทีมันเหมือนสมองเราไปหมดแล้ว วันนี้กูไปแล้ว บางทีวันนึงเรามีงาน 3 งาน...

เพราะผู้จัดการเราก็เก่งมาก หางานไม่เคยถามไถ่อะไรเลย คือเหนื่อยมาก บางทีสมองคืออ๊องไปเลย กุกลับบ้านยังไม่ถูกทาง เราต้องเปิด google map ทั้งๆ ที่จะถึงบ้านอยู่ข้างหน้า …ไปทางไหนวะเนี่ยจริงๆ เราไม่มีเวลาทำอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็ทำให้เราอ๊องไปเลย แล้วมันไม่มีเวลาที่ได้ทุกข์ เราไม่มีเวลาทุกข์แล้ว เราหมดเวลาทุกข์แล้ว

วิธีผ่อนคลาย เรานอน เราไม่มีเวลานอน ซานิต้องนอน พอเรานอนปุ๊บ เราได้กินของดีๆ แม่ชอบเป็นแบบว่า ลูกหาตังค์มา จะกินอะไรก็คิดแล้วคิดอีก จะซื้ออะไรก็คิดแล้วคิดอีก เราบอกว่า อ้าวรีบกินนะ เดี๋ยวตายก็ไม่ได้กิน คือมันต้องรีบ

เรารู้ว่ารางวัลสำหรับเรา คือวันนี้ได้นอนตื่นสาย วันนี้ได้กินของดีๆ วันนี้กองเลิกเร็ว ทำงานเสร็จเร็ว คนชม นี่คือรางวัลของซานิในทุกๆ วัน




“Burn out” ใครๆ ก็เคยเป็น



 “ซานิจะเป็นภาวะ Burn out หมายถึงว่าเวลาคนเราต้องทำงานเยอะๆ วนกันอยู่อย่างนี้ มันคือการ Burn out มันคือการล้าในการทำงาน แต่เราคิดว่ามันคือการซึมเศร้า

บางทีเรากลับมานอนบ้าน อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหล เอ๊ะ น้ำตาไหลเป็นอะไร เป็นซึมเศร้าเหรอ เปล่า แต่คือภาวะ Burn out ที่เราไม่รู้ตัวว่าเราออกไปเจอผู้คน เราทำงาน สมมติเราเจอเรื่องที่ทุกข์มา เราเจอเรื่องทุกข์มาปุ๊บ แต่เราเจอหน้าคนเราต้องยิ้มแล้ว เพราะเราก็อยากให้ความสุขเขา

เราลืมไปว่าเราเองเราดันมีความทุกข์อยู่ เราก็เก็บความทุกข์ตรงนี้กดไว้เรื่อยๆ ออกไปทำงานทุกวัน ยิ้ม มีความสุข ยิ้ม ณ วันหนึ่งเรารู้ตัวว่าเราล้าเหลือเกิน ล้ามากๆ เลย เราบอกตัวเองนะ เราบอกตัวเองว่าไม่ถึงขั้นนั้น

แต่ซานิจะบอกว่าโลกแบบนี้มันรักษาได้ สำหรับคนที่เป็น ถ้ารู้ตัวเองนิดๆ หน่อยๆ อาจจะไปหาหมอ เขาตรวจได้หมด ว่าเป็นหรือไม่เป็น มันสามารถตรวจได้ แต่ซานิเช็กตัวเอง เราเช็กอาการ อ๋อ ฉันเป็นภาวะ Burn out คือ ล้ามากเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นซึมเศร้า”



สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @zanizina
ขอบคุณสถานที่: ร้าน “Tim Hortons” สาขาสามย่านมิตรทาวน์





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น