...ท่ามกลางภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ยัง ไม่มีวี่แววว่าจะคลี่คลายลง ได้ส่งผลกระทบต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจและการชะลอการลงทุนไปทั่วโลก “ไทย” กลายเป็นประเทศที่ถูกจับตามองจากนักลงทุน นักท่องเที่ยว และกลุ่มเกษียณอายุชาวต่างชาติ รวมถึงกลุ่มเศรษฐีที่มองหาที่อยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และพื้นที่หลบภัยจากปัญหาต่างๆ หรือเซฟโซน ในการอยู่อาศัยที่ปลอดจากปัญหาโรคระบาด หลังจากประเทศไทยได้รับการยกย่องว่ามีมาตรการดูแลควบคุมปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพด้านสาธารณสุขของประเทศไทย
ขณะที่ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว อัธยาศัยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวของคนไทยเป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในด้านการขยายตัวของเมืองและระบบคมนาคมที่รัฐบาลให้การสนับสนุนด้วยการเชื่อมต่อระบบการเดินทางและระบบขนส่งด้วยการลงทุนขยายโครงการระบบการขนส่งทั่วประเทศ เช่น การขยายการลงทุนระบบรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่างจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นตัวดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเหมือนการต่อยอดจากการมีทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของกลุ่มประเทศอาเซียน หรือเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อย่างดี
โดยเฉพาะหลังภายหลังการเกิดสงครามการการค้าระหว่างประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนเข้าสู่พื้นที่กลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกแรกๆ ของอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม ซึ่งต้องใช้แรงงานที่มีสกิลสูง ขณะที่การลงทุนก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่อเมืองชั้นในกับพื้นที่ชานเมือง ซึ่งก่อให้เกิดการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัย ที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลายเป็นตลาดศักยภาพอันดับต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียน
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การตั้งบริษัทสาขา จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องการขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงการอยู่อาศัยและการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ เช่น กลุ่มนักลงทุนจากยุโรปและประเทศจีน โดยเฉพาะคนฮ่องกงซึ่งก้าวมาสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้านการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นแม้ว่าในช่วงที่เกิดปัญหาการแพร่ะบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้กลุ่มลูกค้าจีนและฮ่องกงต้องทิ้งดาวน์ห้องชุดไปเป็นจำนวนไม่น้อยเนื่องจากไม่สามารถเดินทางเข้ามารับโอนห้องชุดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขการท่องเที่ยว และศักยภาพของตลาดอสังหาฯ ไทยทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ มั่นใจว่าในอนาคตหลังจากที่มีการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้กลุ่มลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้งโดยเฉพาะกลุ่มซื้อเพื่อการอยู่อาศัย แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม New Normal กลายเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบการพัฒนาโครการที่อยู่อาศัยทำให้โครงการใหม่ๆ ต้องให้น้ำหนักเกี่ยวกับพื้นที่การอยู่อาศัย ความเป็นส่วนตัว เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับไฮเอนด์ไปถึงตลาดซูเปอร์ลักชัวรี
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนล ผู้พัฒนาโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
โครงการมิกซ์ยูส กลุ่มอาคารสูงประกอบด้วย โรงแรมดุสิตธานี คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าบนพื้นที่พัฒนาโครงการ 23 ไร่ มูลค่าลงทุน 36,700 ล้านบาทซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ภายใต้การบริหารของบริษัท วิมานสุริยา จำกัด กล่าวว่า การระบาดของเชื้อโควิด-19ในปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย ความเป็นส่วนตัวและขนาดพื้นที่ในการอยู่อาศัยที่มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเว้นระยะห่างการอยู่อาศัยร่วมกันของผู้คนในสังคม ประกอบกับกระแสรักสุขภาพและกระแสรักโลก ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเน้นการออกแบบและพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการในจุดนี้ของลูกค้าให้มากที่สุด
นอกจากนี้ การตอบโจทย์ด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยภายในโครงการและสิ่งแวดล้อมการให้พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของกลุ่มลูกค้าด้วย จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้คอนเซ็ปต์และรูปแบบการพัฒนาโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ตอบโจทย์ลูกค้าในตลาดห้องชุดซูเปอร์ลักชัวรีเป็นอย่างดี เพราะในการพัฒนาที่ดินของกลุ่มดุสิตธานีเน้นการพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองและชุมชนอยู่อาศัยโดยรอบเพื่อยกระดับความเป็นมหานครซึ่งมีแนวโน้มเดียวกับเทรนด์การเติบโตของมหานครทั่วโลก
โดยเฉพาะการพัฒนารูฟพาร์ค ในโครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งแม็กเน็ตที่จะดึงดูนักท่องเที่ยว ประชาชน และลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองอีกหนึ่งโครงการซึ่งจะกลายเป็นที่จดจำในระดับสากลในฐานะอาคารไอคอนิคแห่งกรุงเทพฯ รวมถึงเป็นพื้นที่สาธารณะที่ตอบไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ
เนื่องจากเป็นโครงการที่พร้อมสรรพในทุกๆ ด้านเพราะภายในพื้นที่โครงการมีความครบครันสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็ศูนย์การค้า “เซ็นทรัล พาร์ค” บนพื้นที่กว่า 80,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งพร้อมนำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่อาคารสำนักงานเกรดเอ "เซ็นทรัลพาร์ค ออฟฟิศเซส" และที่สำคัญคือ “รูฟพาร์ค” ซึ่งหัวใจสำคัญของโครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์คที่พร้อมส่งมอบพื้นที่สีเขียวในรูปแบบเปิดมุมมองธรรมชาติเชื่อมโยงทัศนียภาพสีเขียวจากสวนลุมพินีแบบพาโนรามา และยังช่วยเพิ่มพื้นที่ปอดใน กทม.ซึ่งจะช่วยสร้างระบบนิเวศ และนิเวศเมืองอย่างยั่งยืน
สำหรับ “รูฟพาร์ค” สวนสาธารณะลอยฟ้าบนพื้นที่ 7 ไร่ ถูกออกแบบภายใต้ความตั้งใจที่ต้องการให้เป็นพื้นที่สวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ ซึ่งโจทย์ที่บริษัทให้แก่แลนด์สเคป คอลลาบอเรชัน ผู้เชี่ยวชาญสร้างสรรค์พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกคนที่มาเยือน
ดังนั้น โจทย์ที่บริษัทให้ไปมิใช่เพียงการสร้างสวนสีเขียว หรือการปลูกต้นไม้ แต่ครอบคลุมไปถึงรายละเอียดของแต่ละพรรณไม้ที่จะนำมาปลูกในโครงการ รวมไปถึงองค์ประกอบที่นำมาจัดวางร่วมกันเพื่อให้สามารถงานได้จริงสวยงาม และเกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อสังคม
ทั้งนี้ พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่บนอาคารสูงใจกลางเมืองแห่งนี้มีโจทย์สำหรับงานดีไซน์ 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.ดีไซน์ที่ยังคงอัตลักษณ์และจิตวิญญาณความเป็นดุสิตธานีที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยมีความโดดเด่นของพรรณไม้และน้ำตก 2.ดีไซน์สำหรับชุมชนและสาธารณะเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้และใช้เป็นพื้นที่เพื่อการพักผ่อนและสันทนาการตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลและ 3.ดีไซน์ให้มีความเฉพาะตัวของระบบนิเวศในกรุงเทพมหานคร สร้างความเป็นธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์เฉพาะในท้องถิ่น
ด้าน นายธัชพลสุนทราจารย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์สเคป คอลลาบอเรชั่นจำกัด กล่าวว่า ลักษณะด้านกายภาพของรูฟพาร์คที่คาดว่าจะเผยโฉมให้เห็นได้จริงและเปิดให้บริการได้ภายในปี 67 นั้น เบื้องหลังงานออกแบบรูฟพาร์คทั้งหมดนี้ไม่ใช่การออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่ทำไว้ให้ชมเพียงแค่ความงามตามธรรมชาติ แต่ต้องทำให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์พลังขับเคลื่อนชีวิตให้แก่ผู้คนและสังคม
นอกจากนี้ ยังเน้นถึงความยั่งยืนของสภาพธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นคือหัวใจสำคัญ ทีมออกแบบจึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพรรณพืชหลากหลายประเภทที่ช่วยลดฝุ่นละอองในอากาศ ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ต้นไม้ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจน ต้นไม้ที่ไล่ยุง รวมไปถึงต้นไม้มงคลต่างๆ ที่สามารถนำมาผสมผสานในสวนรูฟพาร์คทำให้เมืองดูร่มรื่นและมีคุณภาพ
“ความพิเศษอีกประการคือการศึกษาข้อมูลพรรณไม้ประจำถิ่นของกรุงเทพฯ ผ่านการศึกษาจากนิราศภูเขาทอง และคัดสรรพันธุ์ต้นกล้านำมาปลูกในสวนดาดฟ้าแห่งนี้ด้วย นับเป็นความพิถีพิถันอย่างที่สุดในการเลือกสรรพันธุ์ไม้ใหญ่น้อยที่เหมาะสมเข้ากันทั้งโครงการโดยผสมผสานทั้งไม้ใหญ่และไม้พุ่มเตี้ย เช่น เตยแว่นแก้ว เสน่ห์จันทร์แดงเดหลี ไม้ใบเขียวหนา เช่น บอนดำ พัดโบก ไม้ลำต้นสูงเช่น ลำพู ไม้แผง เช่นหญ้าถอดปล้อง รวมทั้งไม้น้ำอย่างกกอะเมซอลลานไพลิน หรือกก เป็นต้น” นายธัชพล กล่าว
นางศุภจี กล่าวว่า ผลสำรวจข้อมูลความต้องการที่อยู่อาศัยโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรีในกลุ่มผู้บริโภคและบริษัทตัวแทนการขาย (เอเยนซี) ในประเทศไทยและต่างชาติรวมถึงบริษัทอสังหาฯที่พัฒนาคอนโดซูเปอร์ลักชัวรี พบว่า ดีมานด์ในตลาดซูเปอร์ลักชัวรีในกรุงเทพฯ ยังมีอยู่สูงมาก นอกจากนี้ ยังพบว่า โครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์คได้รับความสนใจจาก 2 กลุ่มผู้บริโภคอย่างมากคือ 1.กลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพ 2.กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ต้องการอยู่อาศัยในเมืองไทยโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวฮ่องกงซึ่งอยู่ระหว่างจุดเปลี่ยนและการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมองประเทศไทยเป็นตัวเลือกแรกในการย้ายถิ่นฐานใหม่
ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการและรูปแบบโครการที่ตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพ ทำให้ห้องชุดในโครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์คได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าชาวฮ่องกงอย่างมาก และเชื่อมั่นว่าโครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์คจะยิ่งได้ความสนใจมากขึ้นหลังการเปิดตัว “รูฟพาร์ค” ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ในการพัฒนาครั้งนี้