เปิดใจตัวแทน “ครอบครัวศรีสกุลภิญโญ” ปมขัดแย้ง “เสี่ยราดหน้าพันล้าน” งัดหลักฐานแจงทุกข้อสงสัย “คดีความ-โอนหุ้น-เลิกจ้าง” เผย ยินดีเคลียร์ข้อพิพาท “ยังไงเขาก็เป็นพี่ สายเลือด มันไม่ขาด”
เหตุเกิดเพราะหุ้น 5 เปอร์เซ็นต์?!
“ที่ผ่านมา เราไม่ตอบโต้เลย เพราะเรารู้สึกว่า 1. เราประกอบธุรกิจ 2. เรื่องของตระกูล เราก็ไม่อยากให้ข้างนอกเขามองว่าเราทะเลาะกัน แต่วันนี้คงต้องออกมาพูดบ้างแล้วค่ะ ให้คนได้รู้อีกด้านนึง อยู่ไม่ได้แล้วนะถ้ายังเป็นอย่างนี้ ออกมาคุยกันให้ชัดเจน ความจริงมันอยู่กับเรา ต้องพูดแล้ว”
กรนิภา แซ่เตีย (พี่สาวคนโต) นุจรีย์ ศรีสกุลภิญโญ (พี่น้องคนที่ 4) และ ณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง) กรรมการผู้จัดการบริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ตัวแทน “ครอบครัวศรีสกุลภิญโญ” เปิดใจผ่านทีมข่าว MGR Live ถึงเรื่องราวในอีกแง่มุมให้สังคมได้รับรู้ สำหรับกรณีความขัดแย้งระหว่างคนในครอบครัว และ “สมชาย ศรีสกุลภิญโญ” หรือ “เสี่ยราดหน้าพันล้าน” ผู้เป็นพี่น้องคนที่ 3
[ กรนิภา (พี่สาวคนโต) ณัฐปภัสร์ (น้องคนสุดท้อง) และ นุจรีย์ (พี่น้องคนที่ 4) ]
ก่อนหน้านี้ เรื่องราวดังกล่าวเคยเป็นกระแสฮือฮาในสังคม ที่เสี่ยราดหน้าให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน ว่า ตนเองที่เป็นผู้ก่อตั้ง “สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอริ่ง” บริษัทเครื่องครัวรายใหญ่ของไทยและเอเชีย แต่ต่อมาถูกพี่น้องร่วมสายเลือดเข้ายึดครองบริษัท จนเกิดการฟ้องร้องกันถึง 13 คดี อีกทั้งยังมีเรื่องของการถือครองหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เขาและครอบครัวต้องออกมาตั้งหลัก ขายทรัพย์สินมาสู้คดี และขายราดหน้าเลี้ยงชีวิต
โดยทีมข่าว ได้เผยแพร่สัมภาษณ์ของเสี่ยราดหน้าไปก่อนหน้านี้ ในชื่อเรื่อง เปิดศึกสายเลือด “เสี่ยราดหน้า” ชนะคดีแต่ยังไม่ได้เงินเยียวยา “จะสู้ต่อไปเท่าที่สู้ไหว” เช่นกัน
หลังจากพี่น้องคนอื่นๆ ในครอบครัว ตกเป็นฝ่ายถูกกล่าวหามานานนับปี ถึงวันนี้ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไปได้ จึงขอพื้นที่ให้ทีมข่าวช่วยนำเสนอข้อมูลอีกด้าน ให้สังคมได้รับทราบ
ซึ่งสิ่งที่นำออกมาเปิดเผยนั้น ต้องบอกเลยว่า จัดหนักจัดเต็มราวกับหนังคนละม้วน!
ณัฐปภัสร์ หรือ วีก้า น้องคนสุดท้อง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่คาดว่าเป็นชนวนเหตุความขัดแย้ง น่าจะมาจากการสิทธิในการถือครองหุ้นของบริษัท โดยแต่เดิมธุรกิจนี้เป็นธุรกิจของตระกูล ตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่สร้างมา ไม่ใช่เป็นบริษัทที่เสี่ยราดหน้าสร้างมาคนเดียวตามที่เขาให้ข้อมูลกับสื่อ
โดยพี่น้องผู้ชาย 4 คนคือ ปรีชา, สมชาย, ธนัฏฐ์โชค, ละ พัฒน์ปกรณ์ ได้แบ่งหุ้นบริษัทครั้งแรกคนละ 25 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาพี่น้องทุกคนในครอบครัวก็ช่วยกันบริหารจนบริษัทเติบโตมาก ทางฝ่ายชายจึงเห็นควรว่า ควรสละหุ้นให้ฝ่ายหญิงบ้าง เพราะผู้หญิงทำงานเหนื่อย แต่ไม่ได้หุ้น มีเพียงเงินเดือนอย่างเดียว
“แกก็ไปปรึกษากันเองระหว่างผู้ชาย ทุกคนยอมหมด โดยแบ่งออกมา 5 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละคน รวมเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ออกมาให้ผู้หญิง 3 คนจัดการกันเอง ก้าก็เป็นคนบริหาร มีสัญญาโอนหุ้น มีการเซ็นลงนามอย่างเรียบร้อย แล้วก็ไม่รู้ยังไง เฉพาะคุณสมชาย เขาขอหุ้นที่เขาให้มา 5 เปอร์เซ็นต์คืน คนอื่นไม่ได้ทวง เขาบอกว่าถ้าไม่ให้คืนเขาจะฟ้อง เราก็ถือว่าให้มาแล้ว เป็นสิทธิของเราที่เราควรจะได้ หลังจากนั้นแกก็ฟ้องร้องมาตลอด
บริษัทเดิมก็ไม่มีอะไร มาชะลอตัวเมื่อปี 59 ตอนที่มีประเด็น ตั้งแต่มีเรื่อง ยอดขายลงเรื่อยๆ เขาส่งหมาย ส่งหนังสือจากกองปราบไปหาลูกค้าว่าพวกเราโกง แต่โชคดีที่ลูกค้ารู้จักเรา เราอยู่กับโปรเจกต์มา 20 กว่าปี ลูกค้าก็เลยมั่นใจว่าไม่ใช่แน่ ทุกวันนี้ลูกค้าค่ายใหญ่ก็ยังซื้ออยู่ แต่ค่ายใหม่ๆ บางทีเขาก็ไม่มั่นใจ ช่วงโควิดเองต้องบอกว่าแสนสาหัส
พอวันนี้ที่เขาเริ่มกระจายข่าว เขาเคยโดนศาลติงตอนที่เขาออกสื่อเยอะๆ ศาลบอกว่า อย่าออกข่าวอย่างนั้น เพราะเข้าใจว่าพวกคุณมีธุรกิจอยู่ แต่ก็เงียบได้แป๊บเดียว ทางพี่ชายก็บอกว่าอยู่เฉยๆ อย่าไปตอบโต้ ยิ่งตอบโต้ยิ่งแรง แต่บอกเขาว่าไม่ตอบโต้นี่ตายนะ เพราะก้าเป็นคนไปพูดกับลูกค้า เราแค่อยากชี้แจงความจริง เราเองบริหารบริษัทมาจนโตขึ้น ที่แกบอกว่าพันล้าน จริงๆ กว่ามันจะเป็นพันล้านได้ ทุกคนช่วยกันมาหมดค่ะ”
ยัน “เสี่ยราดหน้า” อยู่สบาย-ไม่ลำบาก
เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะเสี่ยสมชายยังมีการกล่าวถึงคดีความกว่า 13 คดี ที่มีการฟ้องร้องกัน โดยน้องคนสุดท้องได้ให้ข้อมูลว่า เสี่ยและครอบครัวเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทและพี่น้องคนอื่นๆ ถึง 11 คดี ส่วนเงินเยียวยาที่เขาอ้างว่าบริษัทต้องจ่ายให้ตนนั้น ในคำสั่งศาลไม่มีระบุไว้
“เงิน 300 ล้าน เกิดจากที่เขารู้สึกว่าเขาอยากได้เงิน เขาก็ขอศาลว่าเขาจะไกล่เกลี่ย ขอให้บริษัทจ่ายเขา 300 ล้าน เขาเสนอตัวเลขนี้เอง ศาลก็ถามว่าคุยกันได้มั้ย ทางเราก็บอกว่าตัวเลขสูงไป ด้วยเศรษฐกิจปัจจุบันเราไม่ไหว เขาบอกไม่คุย ศาลก็บอกงั้นสืบต่อ ศาลไม่ได้บังคับให้จ่าย แล้วเขาไม่ได้ชนะคดี คนละเรื่องเลยนะคะ
มีคดีนึงที่เขาฟ้อง ลูกชายเขาออกไปฟ้องศาลแรงงาน อันนั้นเขาชนะจริงค่ะ ซึ่งเราต้องจ่ายประมาณ 1.3 ล้าน ศาลเรียกจ่าย 13 ส.ค. เราต้องเอาเช็คไปวางที่ศาล อันนั้นเราจ่าย ก็เป็นคดีที่เขาบอกว่าเขาชนะ แต่เวลาพูดเขาพูดรวมหมด ทำให้เราเสียหาย เขาชนะคดีศาลแรงงานแต่ไม่ได้ชนะ 300 ล้าน
(กางเอกสารให้ดู) 11 คดีเขาฟ้องเราหมด โจทก์คือทางเขา 7 คน จริงๆ คดีฝั่งเราชนะ 3 คดี เขาหาว่าเราโกง ลักทรัพย์ ศาลยกฟ้อง ถึงอุทธรณ์แล้ว เขาฟ้องเรา เราชนะ แต่เขาไม่เคยพูดว่าเราชนะ เขาจะพูดแต่ว่าเขาชนะ แต่ของเขาชนะเพิ่งศาลชั้นต้น ส่วนคดี 12-13 เราฟ้องเขากลับ เขาฟ้องเท็จไงคะ หาว่าเราโกง เราก็เลยฟ้องกลับว่าเขาฟ้องเท็จ เพิ่งฟ้องปีนี้ค่ะ เขาฟ้องอาญาหมด ต้องการให้ติดคุก ฟ้องพนักงานด้วย”
สำหรับประเด็นที่เสี่ยราดหน้า อ้างว่า ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมนั้น น้องคนสดท้อง กล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือ บริษัทมีการปรับองค์กรให้เป็นไปตามกติกาสากล พนักงานทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์ 60 ปี ก็ต้องเกษียณ ไม่เพียงแค่สมชาย แต่ยังรวมไปถึงพี่คนอื่นด้วย รวมทั้งหมด 3 คน
ส่วนลูกๆ ของพี่ชายคนที่ 3 ที่เข้ามาทำงานด้วย เธอก็กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ต้องให้ออก เพราะทำผิดกฎของบริษัทตามขั้นตอน เนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ยอมมาทำงาน แต่กลับรับเงินเดือนตามปกติ
[ ศูนย์อาหารที่กำลังจะเปิดของ “เสี่ยราดหน้า” บนถนนพุทธมณฑลสาย 1 ]
“เราไม่ได้ไล่แก เพราะอายุครบเกษียณ พี่คนอื่นก็เกษียณ คนที่เกษียณในปี 61 ก็จะมีพี่ 3 คน แล้วพนักงานที่อายุเกิน 60 เป็นกติกาสากล พี่คนอื่นไม่เอาลูกเข้าบริษัท มีเขาคนเดียวที่พยายามดันเข้ามา ตอนแรกมีคนโตมา พอมีประเด็นฟ้องร้อง เขาก็ทำผิดกฎบริษัท ตอนนั้นไม่มา ไม่ลา ไม่เข้าออฟฟิศ แต่กินเงินเดือนเต็ม องค์กรเป็นสากล มันไม่ดีค่ะ”
เมื่อถามความรู้สึกของเหล่าพี่น้อง หลังทราบว่า เสี่ยสมชายไปให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่ว่า เป็นผู้ส่งเสียน้องเรียนต่อในต่างประเทศ อีกทั้งต้องลำบากมาขายราดหน้า เพราะถูกกลั่นแกล้ง ทางด้านตัวแทนครอบครัวศรีสกุลภิญโญ กล่าวว่า รู้สึกงุนงงไม่น้อย เพราะเงินที่ส่งน้องๆ ตลอดจนลูกของเขาไปเรียนต่างประเทศหลายคน ล้วนมาจากเงินของบริษัททั้งสิ้น
“ตอนนั้นก็งงๆ นิดนึงว่าทำไมต้องสร้างสตอรี่ตัวเองให้ลำบาก เขาไม่ได้ลำบากขนาดนั้น ที่เขาไปขายราดหน้าเขาชอบทำอาหาร เขาไม่ต้องทำเขาก็อยู่ได้ แกบอกไม่มีเงินแต่จ้างลูกน้อง 4-5 คน ทำงานตลอด ถ้าไม่มีจริงๆ ต้องทำเองมั้ย ลูกๆ ต้องช่วยกันทำ บ้านก็อยู่ในพื้นที่เดียวกันแต่แยกเป็นหลัง บ้านหลังใหญ่โตมาก คุณสมชายกับลูกก็อยู่ที่นี่
[ บ้านพักที่อยู่บนพื้นที่เดียวกับบ้านของพี่น้องคนอื่นๆ ]
ลูกเรียนโทหมด 4 คน ลูกต้องส่งพ่อแม่ได้แล้ว และที่แกบอกแกส่งเสียน้อง 2 คนเรียนต่อปริญญาโท แต่จริงๆ เงินของกงสี พี่น้องตกลงว่าจะส่งเสีย ลูกเฮียที่บริษัทส่งเรียนปริญญาโทหมด แล้วแกก็มีโครงการที่ทำศูนย์อาหารที่พุทธมณฑลสาย 1 ริมถนน ที่เกือบไร่ เพิ่งลงทุนไปใกล้เสร็จแล้ว แกเพิ่งซื้อช่วงมีคดี”
น้องคนสุดท้องยังกล่าวสรุปว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงอายุเท่านี้ไม่เคยทะเลาะกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งพี่น้องทุกคนยินดีที่จะเปิดใจเคลียร์ข้อพิพาทนี้กับพี่ชาย เพราะสายเลือด อย่างไรก็ตัดไม่ขาด…
“คุยได้อยู่แล้วเพราะยังไงเขาก็เป็นพี่ สายเลือดเนอะ มันไม่ขาด เดิมทีพวกเราทำงาน เขาก็เหมือนเป็นพี่ที่ซัปพอร์ต เขาทำน้อยเราก็ไม่ได้อะไร จริงๆ ทุกวันนี้ถ้าเขาไม่มีอะไรเขาแฮปปี้แล้ว ชีวิตมีความสุข ร่ำรวย หาเงินมาก็ได้ใช้ ยังได้เงินปันผลอยู่ ถ้าใช้สติ ไม่มีอารมณ์ คุยกันได้ ทุกคนมีเหตุผล ก็พยายามอยากหาผู้ใหญ่ไกล่เกลี่ยเหมือนกัน มาถึงวันนี้แล้วก็แล้วแต่เขา เดี๋ยวเวลาผ่านไปคนก็รู้เอง”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **