ผ่านไป 1 ปี กับการตีแผ่เรื่องราวชีวิตที่พลิกผันของเสี่ยพันล้าน “สมชาย ศรีสกุลภิญโญ” จากผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องครัวไฟเบอร์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย และของเอเชีย “สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอริ่ง” หันมายึดอาชีพขายราดหน้า ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม แม้จะรู้ว่ารายได้จากการขายราดหน้า จะไม่เพียงพอต่อการดูแลคนครอบครัวได้ทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกคนต้องตั้งหลักชีวิตเพื่อให้เดินต่อไปได้ ในขณะที่ต้องเดินหน้าต่อสู้กับการฟ้องร้องถึง 13 คดี กับพี่น้องร่วมสายเลือดที่เข้ายึดครองบริษัทฯ และเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ก็ยังไม่จบสิ้น ธุรกิจราดหน้ากำลังไปได้ดี เพราะกัลยาณมิตร จากทั่วสารทิศ ช่วยกันอุดหนุน แต่ก็ต้องประสบภาวะวิกฤตโควิด-19 ทุกชีวิตต้องหยุดนิ่ง รายได้ที่เคยมีก็หดหาย แต่คุณสมชาย และครอบครัวก็ไม่ท้อ ยึดธรรมะ เพื่อสงบจิตใจ ใช้จ่ายอย่างประหยัดและพอเพียง ดำเนินชีวิตกับเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เตรียมไว้ทำทุน และยังมีความหวังกับเงินค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้างของตนเอง และภรรยาคือ คุณจารุนันท์ ศรีสุกลภิญโญ รวมถึงลูกสาวและลูกชาย อีก 3 คน ซึ่งศาลตัดสินให้ คุณสมชายและครอบครัว ชนะคดี และมีคำสั่งให้บริษัท สตาร์มาร์คฯ จ่ายค่าชดเชย แต่จนถึงขณะนี้ คุณสมชาย บอกว่า ยังไม่ได้รับเงินค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว นอกจากจะไม่ดำเนินการแล้ว พวกเค้ากลับสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง โดยการเข้าถือครองควบคุมบริษัททั้งหมด โดยไม่ได้เอ่ยถึงคุณูปการของพี่ชายคือตน ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอริ่ง ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวไฟเบอร์กลาส คนแรกของทวีปเอเชีย บอกแต่เพียงว่า คุณพ่อคือ นายเอ็กจือ แซ่เตีย เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สมัยคุณพ่อเอ็กจือนั้น เป็นเพียงการทำเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปในชื่อ “เตียเอ็กเซ้ง เฟอร์นิเจอร์” เท่านั้น ต่อมาตนได้ออกมาตั้ง “เพชรเกษมเครื่องเรือน” ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องครัวไฟเบอร์กลาส จนพัฒนามาสู่บริษัท สตาร์มาร์คฯ จนมีชื่อเสียง
คุณสมชาย ย้อนความให้ฟังอีกว่า น้องชายและน้องสาวที่เข้ามาถือครองกิจการต่อ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ตนได้ส่งเสียจนจบปริญญาโทที่สหรัฐฯ ในขณะตัวเองจบแค่ ม.1 และตอนที่น้องทั้งสองคนเรียนจบ และเข้ามาทำงาน ก็เป็นยุคที่บริษัทฯ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวไฟเบอร์กลาสเจ้าแรกของทวีปเอเชีย รวมถึงผลิตเฟอร์นิเจอร์สไตล์หลุยส์จนเป็นที่เลื่องลือ และได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในขณะนั้น ส่วนตัวผมและภรรยาก็ยังคงช่วยเหลืองานของผู้บริษัทฯ อย่างแข็งขัน ไม่มีขาดตก แต่อาจจะบกพร่องไปก็ตรงที่ไว้ใจคนในสายเลือดมากเกินไป จึงทำให้เกิดการฉ้อโกงจนเป็นศึกสายเลือดเกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้
คุณสมชาย บอกด้วยว่า นอกจากตนและครอบครัวจะชนะคดีเรื่องการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแล้ว เขายังชนะคดีฉ้อโกงด้วย โดยศาลพิพากษาจำคุก น้องชายผมสองคนๆ ละ 3 ปี และให้คืนหุ้นให้กับผม แต่จนถึงขณะนี้ เขาก็ยังไม่ดำเนินการใดๆ ตามคำสั่งศาล
“ที่คนในสังคมรู้จักผม ผมยอมรับว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากสื่อโซเชียล สื่อโซเชียลทำให้ผมได้รู้จักกัลยาณมิตรที่รัก เข้าใจ และเห็นใจผม และช่วยกันตีแผ่เรื่องราวความจริง แต่ก็ยังมีคนอีกส่วนในสื่อโซเชียลยังเข้าใจ และคอมเมนต์ หาว่าผมซื้อสื่อ และใช้เงินมหาศาล เพื่อสร้างกระแสใส่ร้าย โจมตีเขา แต่ความจริงเปล่าเลย ผมจะเอาเงินที่ไหนไปทำแบบนั้น ขนาดศาลตัดสินให้ครอบครัวผมชนะคดี และมีคำสั่งให้เขาจ่ายค่าชดเชยตามคำพิพากษา เขาก็ไม่ยอมจ่าย ถ้าผมไม่มีเงินเก็บ และไม่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง พวกเราจะอยู่กันอย่างไร ลูกชายคนโตต้องไปเปิดร้านขายข้าวแกง ลูกสาวอีกคนต้องยกเลิกแผนลงหลักปักฐานที่เมืองไทย ต้องย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศเพื่อเลี้ยงดูลูกที่ยังเล็กอยู่ ลูกสาวคนเล็กยกเลิกแผนการเรียนมาช่วยพ่อแม่ขายราดหน้า ไหนจะต้องปรับสภาพจิตใจจากภาวะเครียดและความกดดันรอบด้าน ผมไม่รู้ว่าพี่น้องที่เขาโกงผม เขาทนดูได้อย่างไร” คุณสมชาย กล่าวอย่างเจ็บช้ำ
ทุกวันนี้ คุณสมชายได้กลับมาขายราดหน้าที่ตลาดคลองลัดมะยม ตามปกติ และได้ออกร้านตามงานต่างๆ บ้าง เพื่อหาช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ทุกคนต่างเผชิญความเดือดร้อนเหมือนกัน
“ผมและครอบครัวเฝ้าคอยความยุติธรรมในคดีฉ้อโกงซึ่งจะมีการตัดสินพิพากษาอุธรณ์ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้” คุณสมชาย กล่าวทิ้งท้าย