xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์เตือนใจ อย่าหลงคำเยินยอ!! WHO เลือกไทย “ตัวแทนความสำเร็จโควิด-19”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตอกย้ำความสำเร็จ!! หลัง WHO เลือกประเทศไทยถ่ายสารคดีโควิด-19 “หมอมนูญ” ไขข้อสงสัย เป็นเพียงการถอดการป้องกันการควบคุมโรค อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจจะระบาดหนักรอบ 2 “ผับบาร์เปิด-ไม่สวมหน้ากาก” ชี้อาจจะเห็นมีการระบาดเพิ่ม!!?


WHO เลือกไทยประสบความสำเร็จ สู้โควิด-19!!


"World Health Organization (WHO) เลือกประเทศไทยและนิวซีแลนด์ ในการถ่ายทำสารคดีความสำเร็จในการจัดการการควบคุมและป้องกัน covid-19 วันนี้มาที่ห้องปฏิบัติการอ้างอิงของประเทศไทย ที่ National Institute of Health"


นับเป็นเรื่องความสำเร็จ หลัง “นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Jackky Ball” ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) เลือกให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จการควบคุมและป้องกัน covid-19 ผ่านงานสารคดี

“Question : How many labs are able to test for Covid-19 and why is it important to be able to have such a large capacity?

Answer : Director-General of Department of Medical Sciences has policy “one lab,one province,one day reporting” Today,there are 207 laboratories in total across country.

Question : What is done with the lab testing results?

Answer : All confirmed cases will be isolated (in hospitals and/or designated area) immediately and until they are no longer infectious to prevent transmission in the community…”


โดย นพ.บัลลังก์ ได้โพสต์ตัวอย่างคำถามที่ทีมงานถามในการสัมภาษณ์ไว้เป็นเกี่ยวกับรายละเอียดมาตรการการตรวจโควิด-19 พร้อมตอกย้ำถึงการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากได้รับการตรวจยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยจะถูกแยกออกจากคนอื่นๆ ทันที โดยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือพื้นที่ที่กำหนดจนกว่าจะหาย

และไม่มีการตรวจพบเชื้อโควิด-19 อีก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชน ส่วนผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็จะเข้ากักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการจนครบ 14 วัน โดยจะมีการตรวจหาเชื้อให้แน่ใจอีกครั้งก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

[นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์]
ทีมข่าว MGR Live จึงติดต่อไปยัง นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เปิดใจถึงประเด็นดังกล่าว ว่า การที่ WHO เลือกประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการจัดการป้องกันโควิด-19 ในการถ่ายทำสารคดี ไม่ได้มองถึงความสำเร็จ แต่เป็นการตอกย้ำว่าจะต้องรักษามาตรการให้ดี

“เขาคงเห็นสถิติของเราว่าตัวเลขต่ำมาก เขาก็เลยมาดูว่าเราทำอะไร ก็เหมือนกับที่หนังสือพิมพ์ The New york Times ที่เขามาเขียนว่าประเทศไทยทำยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้คำตอบ แต่ว่ามันดี

เขาคงตั้งสมมติฐานว่า อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมของเราที่ไม่มีการแตะตัวกัน มีการไหว้กัน พยายามอยู่ห่างๆ และอาจจะมีเรื่องกรรมพันธุ์ ภูมิต้านทานธรรมชาติของเรา มีการใส่หน้ากากมากกว่าประเทศอื่น เขาก็ไปตั้งข้อสังเกตไว้

ผมว่าเขาก็ยังไม่รู้ เราก็ถามตัวเราก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมของเราได้ผลขนาดนี้ จริงๆ เราก็ไม่รู้ เพราะผู้ติดเชื้อควรจะมากกว่านี้ แต่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นอย่างนี้ หมอคิดว่าถือว่าเป็นโชคมากกว่า”

โดยคุณหมอมนูญ ได้กล่าวถึงอีกว่าการถูกรับเลือกจาก WHO ถือว่ามาตรการรับมือโควิด-19 ของไทยมาถูกทางเพราะเชื่อว่าเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของโลก และอาจนำมาซึ่งสร้างความสงสัยเกี่ยวกับมาตรการตั้งรับของเรา

“เรามาถูกทาง สมมติเราไม่ทำอะไรเลยตอนเดือนมีนาคม ตอนนี้ตัวเลขอาจจะเยอะ แต่คงไม่เยอะอย่างที่เขาตั้งสมมติฐานไว้เป็นแสนคน เราคงไม่เยอะถึงขนาดนั้น

เพราะเรามีอะไรบางอย่างที่ดีกว่าคนชาติตะวันตก ไม่ใช่เฉพาะเรา ในลุ่มแม่น้ำโขงเหมือนกันหมดอย่าง เขมร ลาว เวียดนาม ตัวเลขก็ต่ำมาก เราก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเป็นจากวัคซีน BCG ที่พวกเราได้ตั้งแต่เด็กจนมาปัจจุบัน มันอาจจะสร้างภูมิต้านทานทางธรรมชาติ”


มาตรการสำคัญ คือ การใส่หน้ากากป้องกัน!!


“คิดว่าคนไทยต้องช่วยกัน ขอให้ใส่หน้ากากให้มากที่สุด” ถึงแม้จะมีการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยจะไม่พบผู้ติดเชื้อ แต่ยังมีอีกประเทศในทางเอเชีย และทางยุโรปที่ต้องจับตา โดยคุณหมอมนูญ เผยว่าเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยนั้น เป็นเรื่องที่ห้ามละเลยอย่างเด็ดขาด

“มาตรการก็สำคัญ คือ การใส่หน้ากาก เพราะหน้ากากจะช่วยลดการแพร่เชื้อได้ดีที่สุด ในขณะนี้ยอมรับเลยว่า เวลาแพร่ระบาดเชื้อ แพร่ทางการหายใจ คือ ทั้งละอองใหญ่ และละอองฝอย

ละอองใหญ่แน่นอนเรารู้แล้วว่า ภายในระยะ 1-2 เมตร ละอองฝอยก็ไกลกว่านั้น ในระยะ 8-10 เมตร เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัย มันช่วยทั้ง 2 แบบ

และการล้างมือมันช่วยได้อย่างมาก คือ 10% เท่านั้นในการลดแพร่ระบาด สิ่งนี้คือมาตรการที่สำคัญที่สุด และสำคัญกว่าอย่างอื่น คือ การเว้นระยะห่าง การล้างมือช่วยอย่างมากประมาณ 30-40% เท่านั้น แต่การใส่หน้ากากสำคัญที่สุด”


ทว่า เขาเน้นย้ำ การเลือกสารดีของ WHO มองเป็นเพียงการถอดการป้องกันการควบคุมโรคเท่านั้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศต่างๆ โดยการมาของ WHO ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกภาพรวมในปัจจุบันของประเทศไทย ว่า เชื้อไวรัสร้ายนี้ลดความน่ากลัวลงแต่อย่างใด

“ผมถือว่าเราโชคดี คือ คนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เราสกัดกั้นไว้ได้อยู่หมด กักตัวไว้ไม่ให้ออกมา เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้คนประเทศไทย

เมื่อดูย้อนหลัง เรามีคนที่กลับมาจากต่างประเทศติดเชื้อ 500-600 คน แต่ส่วนใหญ่คนเหล่านี้โชคดี ไม่ค่อยมีอาการเท่าไหร่ แต่ถ้าปล่อยเขาออกมา เขาไม่ค่อยมีอาการ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาป่วย เขาก็จะมาแพร่เชื้อให้คนในประเทศได้

และเมื่อเขาไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นสถานที่ปิด ที่มีคนรวมตัวกันเยอะๆ เช่น ผับบาร์ สนามมวย ซึ่งเมื่อก่อนเรามีการเปิดอยู่ มันก็จะกระจายเชื้อได้เยอะ ตอนนี้เราก็ปิดหลายแห่ง สนามมวยก็ไม่ได้เปิดให้คนเข้าชม

แต่ผับบาร์เริ่มเปิดแล้ว มันก็มีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นเวลาเปิดผับบาร์ อาจจะ 2 อาทิตย์ หรือ 4 อาทิตย์ข้างหน้า เราจะเห็นว่ามันจะมีการระบาดหรือไม่”


สุดท้าย คุณหมอมนูญยังทิ้งทายไว้ว่าไทยจะต้องให้ความสำคัญ เพราะความเสี่ยงที่ไวรัสร้ายจะกลับมาระบาดเป็นระลอกที่ 2 หากมีการระบาดขึ้นอีก ก็เป็นไปได้ว่าจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผู้เชี่ยวชาวด้านโรคระบบทางเดินหายใจเอง ยังคงน่าเป็นห่วง

“ผมเป็นห่วงแน่นอน คือ เราจะต้องใส่หน้ากากเป็นเรื่อยๆ เป็นวิถีชีวิตใหม่เลย อย่าเลิกใส่ เพราะเมื่อไหร่ที่มันมา อย่างน้อยหน้ากากก็ป้องกัน ไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่ และระบาดเป็นกลุ่มก้อน

อย่างการที่เข้าไปมีการร้องเพลง ต้องระมัดระวังมาก เราก็รู้การร้องเพลงเป็นกิจกรรมอันหนึ่งที่จะแพร่เชื้อที่เป็นกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่ใส่หน้ากาก รับรองว่าจะแพร่เชื้อ 20-30 คนในวันเดียวกัน ในสถานที่เดียวกัน

ผมรู้สึกว่ายังวางใจไม่ได้ เพราะทุกวันมีผู้ป่วยวันละ 250,000 คน ตายเพิ่มวันละ 5,000 คนทุกวัน ตัวเลขนี้จะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ลดลง ทั่วโลกตัวเลขสูงขึ้นตลอดเลย”


ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : FB “Jackky Ball”


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น