ระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ได้หันหลังให้วงการนักเลง สู่ “พ่อค้าข้าวต้มผัด” ตระเวนเร่ขายขนมตามฟุตปาธ เพื่อเลี้ยงลูกป่วยออทิสติก ย้ำ “วันนี้ถึงจะมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ก็สบายใจ มันคือรสชาติของชีวิต” แม้เคยเลือกเส้นทางชีวิต ที่ผิดพลาด แต่ก็สามารถกลับตัวกลับใจได้ หวังคนในสังคม ยอมรับให้ผู้กระทำความผิด ได้กลับตัวมาใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมเหมือนได้ในชีวิตใหม่อีกครั้ง
จาก “นักเลง” สู่ “พ่อค้าข้าวต้มผัด”
“มันไม่มีความสุขหรอก มันซื้อความสุขตัวเองได้ แต่เป็นแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้นเอง
คุณอาจจะมีเงินสักก้อนหนึ่ง คนนั้นเดินมาอ่าวเฮ้ยทำไมเพื่อนคนนี้มันดูน่าสงสารจัง พวกนี้คือเป็นเพื่อนๆ กัน เราเห็นไม่มีเงินใช้ คือ เอาไปเลย
ผมก็ช่วยเหลือ ผมก็มีเงินเยอะ ตอนนั้นเพื่อนเยอะ เงินเยอะ งานมาติดๆ กันเลย บ้านเช่านอนไม่ได้ ต้องนอนโรงแรมตลอดเวลา”
ปกรณ์ บินโน หรือ “ลุงอเนก” วัย 56 ปีพ่อค้าขายข้าวต้มผัด เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กที่เติบโตในสลัม เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่โลดโผน ติดคุกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ด้วยการเป็น "พ่อค้าขายข้าวต้มผัด" เพราะลูกชายเป็นออทิสติก
“ผมอยู่ในชุมชนแออัด เปรียบเทียบเหมือนคลองเตยดีๆ นี่แหละ แต่ร้ายกว่า โตมาแบบโดนกดดันจากสลัม พ่อแม่ก็ไม่ได้สอนมาว่าให้เรียนให้แค่ไหน คือ เรียนแค่นั้น ไม่ได้บังคับให้เรียน หรือไม่ได้ส่งเสียให้เรียน เรียนได้แค่ไหน ก็เรียนแค่นั้น ผมจบ ป.3 เอง
ผมอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้มึงก็ตาย ก็ส่วนมากเขาจะติดคุกกันตั้งแต่เด็กๆ ไปนอนโรงเรียนใหญ่บ้าง โดนจับไปปากเกร็ดบ้าง แหกปากเกร็ดออกมาได้ ก็มาโดนจับส่งเมตตาอีก ตอนนั้นเป็นวัยรุ่น
มีทั้งคุมบ่อน ทั้งปล่อยเงินกู้ ทั้งเก็บค่าบอล และมียาเสพติดในบางครั้ง เดือนหนึ่งก็มีงาน 3-4 ครั้ง แล้วมาเก็บรายทาง คุมบ่อนบ้าง ปล่อยเงินกู้ คุมโต๊ะเงินกู้บ้างในบางครั้ง มันเฉียดคุก ทั้งเคยเข้าไปอยู่ในคุกมาแล้ว”
ในสมัยนั้นยังแวดล้อมไปด้วยอบายมุข ทำให้ลุงอเนกมีโอกาสเรียนจบแค่ชั้น ป.3 เข้าสู่วงการนักเลงตั้งแต่วัยรุ่น มีประสบการณ์ชีวิตโลดโผน ผ่านตั้งแต่สถานพินิจ คุกตารางมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งเคยมีประสบการณ์เสี่ยงตายจากการใช้ชีวิตบนเส้นทางแห่งนี้
“เคยมี (เสี่ยงตาย) เป็นการท้าแทงกันตัวต่อตัว โดนเย็บ 37 เข็ม เย็บนอก เย็บใน ปิดหน้าอกไว้ ไม่อย่างนั้นก็แทงเข้าหน้าอก”
ทว่า ด้วยวิถีชีวิตของการเป็นนักเลง ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ มีที่อยู่อาศัย ไม่เป็นหลักแหล่งเหมือนคนทั่วไป ทำให้ลุงอเนกไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะทำงานส่งเสียครอบครัว มีภรรยาก็หย่าร้าง จนต้องนำลูกอีก 2 คนไปฝากให้แม่ของตนดูแลตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งในช่วงนั้นเงินที่ได้จากการเป็นนักเลงไม่เคยทำให้ชีวิตมีความสุข
“แม่ผมเลี้ยงลูกทั้งหมด 8 ชีวิต รวมแม่เป็น 9 ก็อยู่แบบสลัม เด็ก 8 คน ตอนเช้าก็ไปเรียนหนังสือ แต่งตัวไปเรียนหนังสือทุกคน ตอนเย็นก็กลับมา ผมก็ซื้อกลับข้าว 2 วัน ซื้อข้าวถุงนึง แล้วเอาเงินมาให้แม่ทีละร้อย”
ถามเขาว่า จริงๆ ทำงานในทางนี้เงินหาได้ง่าย ได้จำนวนเยอะ ทำไมไม่มีไปซื้อสินทรัพย์หรือว่าบ้านช่องเลย ชายคนนี้ยอมรับว่าเงินหาง่ายในตอนนั้นจริง แต่ไม่สามารถนำเงินตรงนั้นไปซื้อสินทรัพย์ หรือลงทุนได้สร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะเงินที่ได้เป็นเงินผิดกฎหมาย
“มันซื้อไม่ได้หรอก ถ้าของผิดกฎหมาย ถ้าไปคุมบ่น มันเป็นรายได้แต่ละวันที่ใช้ไป แต่ถ้าเป็นยาเสพติด มันเอามาทำสินค้าไม่ได้ เอาไปโอน เอาไปแจกให้ใคร เดี๋ยวคนที่รับไปจะโดน
อย่างเช่น ผมมีน้องสาวคนหนึ่ง มีเงินธนาคารของตัวเองอยู่แล้ว 2 แสน ผมบอกว่าเดี๋ยวผมฝากเงินไว้สัก 3 แสน เอาไปฝากปุ๊บ ถ้าตำรวจจับได้เท่ากับว่า 2 แสนของน้องโดนยึดไปด้วย มันไม่ง่าย มันไม่ได้ (ที่จะสร้างตัว)”
แน่นอนว่า เงินรายได้จากการทำงานผิดกฎหมาย แม้จะเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ได้สร้างความสุขให้กับชีวิต เพราะต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ และเงินเหล่านั้นมักจะหมดไปกับความสุขชั่วคราวที่ใช้แล้วหมดไป ไร้ความมั่นคงในชีวิต
ปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่ผิด เพราะ “ลูกป่วยออทิสติก”
“มาหยุดเอาตอนอายุ 40 กว่าปีแล้ว แม่ผมเสีย ก่อนที่แม่จะตายแม่บอกว่า ถ้ามึงออกมาคราวนี้ ทำตัวดีๆ นะ เราก็รับปาก แล้วพอออกมาปุ๊บ มันก็ไม่มีใครจะเลี้ยงลูก เพราะแม่ตาย ไม่รู้จะทำยังไง ไม่มีใครเลี้ยงลูก เราก็สองจิตสองใจว่าจะเลิกดีไหม ถ้ากูไม่เลิก หาเงินอีกสักพักไหม แล้วค่อยเลิก…”
จุดเปลี่ยนของลุงอเนก ได้ตัดสินใจเลิกเป็นนักเลง หลังจากที่แม่ได้เสียชีวิตลง เขาจึงคิดว่า อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ด้วยอายุขณะนั้นก็ปาเข้าไปถึง 45 ปี
“เราก็ไม่นั่งคิดไปเรื่อยๆ เราจะทำยังไงดี นั่งคิดไปก็มองปืนไป ทำไงดี พลิกไปพลิกมา ถ้าเลิกตอนนี้เลย โดนที่ไม่มีอะไรเลย กับอีกสัก 2 เดือนได้ไหม ถามตัวเอง
มันได้คำตอบว่าถ้าอีก 2 เดือน กูติดคุกมาจะทำยังไง แล้วใครจะเลี้ยงลูก ถ้าติดคุกแล้วลูกตายล่ะ ก็คิดได้เอาปืนไปขายได้เงินมา 8,000 บาท
เงิน 8,000 ตอนนั้นเก็บยิ่งกว่ามีเงินเป็นล้านอีก เพราะมันเหลืออยู่ก้อนสุดท้ายแล้ว ที่เราจะพาลูกให้รอดให้ได้ ก็ไปซื้อขนมที่ตลาดพลู ตอนนั้นตลาดพลูเขามีของที่ทำส่งสำเร็จแล้ว ขนมมัน ขนมกล้วย ขนมตาล ซื้อมาก็เอามาใส่ถุงขาย รับมา ซื้อมาขายไป”
ระยะเวลา 10 ปีแล้ว ที่ลุงอเนก ได้หันหลังให้วงการนักเลง แล้วมุ่งหน้าทำมาหากินสุจริต ด้วยการเป็นพ่อค้าขาย “ข้าวต้มผัด” ตระเวนเร่ขายตามฟุตปาธย่านชิดลม เพื่อเลี้ยง “แกะ” ลูกชายวัย 35 ปี ที่ป่วยออทิสติก
กว่าจะพบเส้นทางของการเป็นพ่อค้าข้าวต้มผัดอย่างทุกวันนี้ ลุงอเนกได้ทดลองค้าขายมาหลายประเภท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยท้อ หรือกลับไปเดินเส้นทางนักเลงเหมือนเดิม ทั้งที่มีเพื่อนฝูงในวงการนักเลงมาชักชวน หรือเอาผลประโยชน์มาล่อ
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำมาหากินสุจริตให้ได้ มีวันหนึ่งลุงอเนกได้คิดขึ้นมาว่า สมัยเด็กๆ เคยช่วยแม่ทำข้าวต้มผัดอยู่บ้าง จึงไปหาสูตรจากคนแถวบ้านมาทดลองฝึกหัดทำ จนออกมามีรสชาติหน้าตา ที่พอจะขายได้ และได้ออกเร่ขายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยสิ่งสำคัญ คือ กระบวนการทำข้าวต้มผัด ซึ่งกว่าจะออกมาจนขายได้นั้น ต้องใช้เวลาทำถึง 2 วัน
“คือ เตรียมวันนึง ห่ออีกวันนึง แล้วค่อยขาย มันขายทุกวันไม่ได้แน่นอน เพราะเวลาไม่ได้ เพราะของพวกนี้มันออกขายตอนเช้ามืด คือ 2 วันปุ๊บ ถึงออกขายได้ทีนึง มันไม่ง่าย มันไม่ได้ขายได้ทุกวัน
ขายช่วงเวลาเป็นวันศุกร์ วันอื่นก็ขายตามสาธร มีที่ชิดลม และหัวลำโพง แถวสโมสรรถไฟตำรวจ ตระเวนไปเรื่อย อาทิตย์หนึ่งไปตรงนี้ อาทิตย์หนึ่งไปตรงนั้น แต่ไม่ซ้ำกัน”
หากมองไปภาพที่ชินตา สำหรับคนในละแวกนั้น คือ ภาพของลุงอเนก และแกะ ที่มักจูงกันไป ขายข้าวต้มผัด ยังสถานที่ต่างๆ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมา คือคำถามที่ว่า ทำไมต้องเอาลูกมาขายของ ซึ่งในฐานะพ่ออย่างลุงอเนก กลับมองว่าถ้าให้ลูกที่บ้าน ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวเขาจะเดินไปไหน เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ลูก เคยพลัดหลงมาแล้ว
“บางคนเขามาซื้อ เห็นน้องอย่างนี้เขาก็มาช่วยซื้อ เขาเห็นว่าน้องป่วย เขาก็เลยมาช่วยซื้อ ผมบอกว่าเราทิ้งเขาเอาไว้ที่บ้านไม่ได้ เพราะว่าผมจะขายของไม่มีความสุข ก็มัวเป็นห่วงเขาไง เขาอยู่ที่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเดินไปไหน เขาเดินไม่ระวังตัวด้วย เดินไปเรื่อยเปื่อย
เดินไปแล้วเกิดเราขายของไป เราก็นั่งนึกถึงลูกไปอย่างนี้ มันไม่มีความสุขหรอก แต่ถ้าเราเอาเขามาด้วย อยู่ใกล้ๆ เรา ไม่มีปัญหา เราเห็น ไปไหนก็ไปด้วยกัน
เขาเคยหลง คือ หลงแล้วตำรวจเขาเอามาส่ง ตอนนั้นทำขนมนี่แหละ แล้วน้องเขาก็ออกจากบ้านแบบนี้ เดินออกไปแบบปัจจุบันแบบนี้ เราก็นึกว่าลูกไปซื้ออะไรกิน แต่จริงๆ ลูกเดินไปเรื่อยๆ”
“มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง … มันคือรสชาติของชีวิต”
ไม่เพียงแค่นั้น ถามเขาว่ารายได้จากการขายข้าวต้มผัดทุกวันนี้ พอเพียงต่อการดำรงชีวิตและดูแลลูกชายไหม ชายวัย 56 ปี คนนี้นิ่งไปสักพัก ก่อนให้คำตอบไว้ว่า สิ่งที่กลับมามากกว่ารายได้ คือ ความสุขที่ได้เลี้ยงลูกมากกว่า
“พูดถึงจะพอไหม… ไม่น่าพอ แต่ว่าเราก็ต้องใช้ให้มันเซฟๆ หน่อย ดีที่ว่าเราไม่ต้องไปเสียค่าเช่าบ้าน เพราะลูกสาวออกค่าเช่าบ้านให้ คือ เราหากินกัน 2 คน เราก็หากินกันแค่นี้ เราก็กินน้อยๆ หน่อย แต่ลูกชายมันไม่ค่อยน้อยเท่าไหร่ กินนมวันละ 14 กล่อง”
ถึงวันนี้เป็นวันเวลานานถึง 10 ปี แล้ว ที่เขาได้หันหลังให้กับวงการนักเลง มาใช้ชีวิตใหม่ ทำมาหากินด้วยความสุจริต แม้จะมีรายได้ไม่มากนัก แต่ก็พอใจที่ได้อยู่ดูแลแกะ แบบทุกวันนี้
“พอใจกับชีวิตมาก เพราะว่าได้อยู่กับลูก ถึงเงินมันจะน้อย ถึงมันจะไม่พอใช้ แต่ยังได้อยู่กับลูก ได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิด ได้บอกแกะว่ามึงอย่าดื้อมาก พ่อเหนื่อยนะเว่ย บางทีก็พูดนะ บางทีกำลังหลับๆ อยู่ก็มีไปพูดว่า พ่อเหนื่อยนะ
มันไม่เข้าใจหรอก มันก็ลูบหัวเรา ลูบๆ ก่อนจะนอนก็โอ๋ ตกลงใครเป็นพ่อ ใครเป็นลูกกูก็ไม่รู้ ก่อนจะนอนมันต้องโอ๋ผมทุกคืนเลยนะ จับลูบโอ๋ๆ มันโอ๋ให้เรานอน
แทนที่เราจะโอ๋ให้มันนอน มันกลับมาโอ๋เรานอน มันไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร มันไม่รู้ว่ารู้ว่าเหนื่อยเป็นยังไง เจ็บเป็นยังไง ป่วยเป็นยังไง เขาไม่รู้
ส่วนลูกสาว (ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน) รู้สึกว่าเขารักผมมากนะ ลูกสาว โทร. มาถามทุกวันพ่อกินข้าวยัง ถึงเวลาพ่อเดี๋ยวถ้าเกิดค่าเช่าบ้านมา โทร.บอกหนูด้วยนะ เดี๋ยวจะโอนเงินเอง เดี๋ยวจะจัดการเอง ค่าเช่าบ้านเท่าไหร่เขาจัดการเอง”
ถึงจุดนี้ผู้ชายคนนี้ยอมรับว่าบางครั้งก็เหนื่อย แต่กลับรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ทำ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือได้ทำงานสุจริต และดูแลลูกให้สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ ซึ่งหากมองไปถึงอนาคต เขาอยากให้ลูกดูแลตัวเองได้ในสังคมแห่งนี้
“ผมตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่าเลิก ก็คือ เลิก อย่างขาดเลยนะ จะขายขนมอย่างนี้ ไม่มีอะไรก็ทำๆ แต่ถ้าวนกลับไปคงไม่เอาแล้ว ผมพอแล้วกับชีวิตแบบนี้ อยากจะใช้ชีวิตกับลูก ถ้าไม่มีก็คงจะอยู่แบบนี้ อยู่ไปเรื่อยๆ
การดูแลในวันข้างหน้า จริงๆ แล้วผมอยากมีบ้านให้ลูกอยู่สักหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นของเราเองไม่ต้องเช่า เป็นชื่อเราเอง แล้วลูกจะได้อยู่ของมันได้ สักวันหนึ่งคงไม่มีเราหรอก เพราะเราคงไม่ได้อยู่ค้ำโลกหรอก จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่ยังไงก็จะอยู่ด้วยจนถึงที่สุด แต่ก็อยากมีเงินสักก้อนหนึ่ง ถ้ามันมีนะ ถ้ามันมีทางนะ มีเงินนะ ก็จะไปซื้อบ้านให้ลูกอยู่สักหลังหนึ่ง เอาไว้เป็นที่ซุกหัวนอนของลูก ยามไม่มีเรา
ผมคิดว่าถ้าคนที่คิดอย่างนั้นอยู่ ผมว่าเลิกเถอะ แล้วมองจากผม ทุกวันนี้ผมสู้นะ ไม่ท้อแล้วไม่ถอยด้วย ให้มองจากผม ผมเลี้ยงลูกผมได้ ลูกผมเป็นออทิสติก ผมยังเลี้ยงลูกมาได้เลย ผมยังไม่เคยทิ้งลูกเลย
อย่าท้อ แต่ขอให้เรายึดมั่นในความดีที่เรามีในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้าเมื่อคุณตายไป คุณจะได้เอาพวกนี้ติดตัวไป
ถ้าคุณทำชั่ว มันก็ติดตัวคุณไป ถ้าคุณทำความดี มันก็ติดตัวเราไป วันนี้ถึงจะมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ก็สบายใจ มันคือรสชาติของชีวิต”
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **