ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวและสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผู้ประกอบการและองค์กร ในหลายๆ รายได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า การฝ่าวิกฤตเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจเป็นความท้าทาย และถือเป็นบททดสอบเพื่อที่จะนำธุรกิจไปสู่คนในสังคมที่พฤติกรรมเปลี่ยนไปสู่ยุค New Normal เช่นเดียวกับธุรกิจค้าข้าว แบรนด์ “ไก่แจ้” โดยทายาทรุ่น 2 ผู้สานต่อธุรกิจให้เติบโตจากรุ่นพ่อ
นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด เล่าว่า ตนเป็นทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจต่อจากรุ่นพ่อให้เติบโต โดยถ่ายทอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยพลังและวิธีคิดแบบเติบโต ( Growth Mindset ) จุดเริ่มต้นแบรนด์ “ไก่แจ้” เกิดจาก นายสุนทร ธัญญวัฒนกุล พ่อ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเป็นคนชอบเลี้ยงไก่ สำหรับคนต่างจังหวัดหากได้ยินเสียงไก่ขัน เหมือนปลุกให้ออกทำมาหากิน นอกจากนี้แล้วยังสามมารถฟักไข่เพื่อเป็นอาหารต่อไปได้ และตนก็ตั้งใจไว้ว่า เมื่อจะค้าข้าวก็ต้องการใช้แบรนด์ “ไก่แจ้” เนื่องจากเป็นของคู่ครัว ทุกบ้านต้องมีข้าว มีไข่ วิถีครอบครัวไทยตอนนั้นเป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ตั้งแต่ นายสุนทร ธัญญวัฒนกุล ก่อตั้งบริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด เพื่อทำการผลิต จำหน่าย และคัดสรรข้าวสารบรรจุถุงในจังหวัดชลบุรี นับเป็นธุรกิจที่สามารถอยู่มาอย่างยาวนาน ซึ่งตั้งแต่ก่อตั้งรุ่นที่ 1 ก็ทำมานานกว่า 60 ปี
“ธุรกิจค้าข้าวในตอนนั้นขายดิบขายดีจนสามารถส่งลูก 2 คนเรียนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทเป็นความภูมิใจของครอบครัว พ่อมักจะสอนลูกอยู่เสมอว่าต้องซื่อสัตย์กับคนซื้อข้าว เพราะเขาจะไม่รู้เลยว่าเราปนข้าวคุณภาพเกรดลองไปด้วยหรือเปล่า เขาจะรู้ต่อเมื่อเอาไปหุงกิน ดังนั้นการค้าขายต้องเชื่อใจกัน พ่อมักจะพูดเสมอว่า ‘การค้าข้าวไม่โตแต่ไม่ตาย’ เพื่อให้เราได้คิดได้เข้าใจธุรกิจให้เห็นคุณค่าและรักในอาชีพ”
สำหรับตนซึ่งเข้ามาดูแลธุรกิจในรุ่นที่ 2 หลังจากเรียนจบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ก็กลับมาทำงานประจำในประเทศไทยตามความต้องการของพ่อ แม่ แต่ไม่นานก็ตัดสินใจลาออกเพื่อกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยเริ่มจากการเรียนรู้งานใหม่ ในหลายๆ ส่วน ตั้งแต่กระบวนการขนข้าว หรือแม้แต่ขับรถส่งของ
“ตอนนั้นผมต้องเรียนรู้งานใหม่ในหลาย ๆ ส่วนครับ ได้เป็นทั้งเด็กขนข้าว คนขับรถส่งของ แล้วก็พนักงานขาย ช่วงนั้นเหนื่อยมากครับ แต่ผมคิดว่าเหนื่อยทั้งทีธุรกิจเราต้องเติบโต ไม่ใช่เหนื่อยแล้วไม่ได้อะไรเลย ตอนนั้นผมเหมือนเข้าไปดูการจัดการเพราะเรายังไม่ได้ทำตลาดไม่ได้ออกไปขายเลยต้องบริหารต้นทุน บริหารคน บริหารของที่มีก่อนเพื่อให้รู้ว่ามีเท่าไหร่ ควรใช้เท่าไหร่ ควรหาเพิ่มเท่าไหร่”
สิ่งสำคัญในการดูแลธุรกิจอีกหนึ่งอย่างคือ การเป็นคนช่างสังเกต เปิดรับความรู้ใหม่ตลอดเวลาเหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว ทำให้มองเห็นถึงข้อดีในการประยุกต์ใช้สิ่งต่าง ๆ ในโรงงาน เริ่มจากการนำสิ่งของที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น การซ่อมแซมรถคันเก่าเพื่อนำมาใช้ในการส่งข้าว จากเดิมที่มีรถใช้งานได้ 1 คัน ก็เพิ่มเป็น 2 คัน รวมทั้งการปรับปรุงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องซื้อใหม่ มีแนวคิดในการบริหารกิจการคือจะนำสิ่งของที่มีอยู่มาทำประโยชน์ให้มากที่สุด
พร้อมทั้งเรียนรู้เส้นทางค้าข้าวและเรียนรู้เพื่อรู้จักเครือข่ายคู่ค้าให้มากขึ้น จากเดิมที่จะส่งของเมื่อลูกค้าโทรมาสั่ง ข้าวก็ชนิดเดิม ส่งเป็นกระสอบและแบบบรรจุถุง 5 กิโล , 15 กิโล และ 49 กิโล เมื่อได้ลงสนามแล้วจึงเข้าใจคำพ่อสอนที่ว่า “ไม่โตและไม่ตาย” แต่ไม่นานก็สามารถปรับปรุงโรงงานและลงเครื่องจักรใหม่รวมกว่า 300 ล้านบาท เพื่อสร้างมาตรฐาน
เนื่องจากมีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นคือ ขายข้าวที่ขยายพื้นที่มากกว่าชลบุรีให้ไปได้ทั่วประเทศและส่งออกด้วย บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด จึงเป็นโรงงานบรรจุข้าวถุงที่ใหญ่ทันสมัย มีเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ มีทีมงานที่เอาใจใส่ในการคัดเลือกชนิดข้าว และการตรวจสอบทุกขั้นตอนในการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ทำให้ข้าวตราไก่แจ้ทุกถุงมีคุณภาพที่ดี ขาวสะอาด ปราศจากสิ่งเจือปนใด ๆ ทำให้ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานจาก กรมการค้าภายใน และสถาบันต่าง ๆ
หลังจากที่โรงงานเสร็จ ก็แบ่งทีมทำตลาดทั้งในประเทศและส่งออก เพื่อให้ครอบคลุมและป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ต้องรักษาสมดุลตลาดไว้ สำหรับตลาดในประเทศ เริ่มเดินหน้าสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดในแบบของตัวเอง อย่างแรกคือการเข้าไปพูดคุยกับคู่ค้าหรือลูกค้า ถามความคิดเห็นว่าความต้องการคืออะไร และไม่ต้องการอะไร ซึ่งก็จะได้ข้อมูลเหล่านั้นเวลาขับรถไปส่งของ ส่วนเรื่องแบรนด์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ชื่อ ‘ข้าวตราไก่แจ้’ แม้จะเป็นคำพื้น ๆ แต่ก็แสดงถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี ง่ายต่อการจดจำ ทำให้เป็นที่รู้จัก ติดหูลูกค้าได้ง่าย และพยายามสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการตลาดแบบบ้าน ๆ แต่โดนใจ
สำหรับการตลาดเริ่มจากการจ้างรถแห่ประกาศอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ออกบูธหุงข้าวให้ชิมอย่างต่อเนื่อง ทำโปรโมชั่นสินค้า และล่าสุดเปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ในคอนเช็ปต์ “ได้อั้ม… แล้วจะติดใจ” โดยให้นางเอก 7 สี อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ข้าวตราไก่แจ้ ข้าวดีดี ที่คุณต้องลอง ก็ทำให้คนสนใจ
ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มที่สามารถต่อยอดจาก B to B เป็น B to B to C ครบวงจรโดยวางกลยุทธ์การสร้างพันธมิตรให้เป็นเครือข่ายในภาคต่าง ๆ เพื่อเป็นจุดกระจายข้าวให้ เนื่องจาก บริษัทอยู่ชลบุรี ส่วนบริหารส่วนกลางก็สนับสนุนการตลาด จัดแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย เพิ่มโซเชียลมีเดียเพื่อสั่งซื้อข้าว พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงบ้านท่าน เป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างเต็มตัว ซึ่งข้าวที่ผู้บริโภคต้องการมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็สามารถหาข้าวชนิดต่าง ๆ ให้ได้ จนในปัจจุบันมีข้าวที่จัดส่งได้หลายพันธ์ ประมาณ 400 SKU
ด้วยกลยุทธ์และระบบการบริหารแบบบ้าน ๆ ใช้วิธีเรียนรู้แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ออกแบบวิธีการให้เหมาะกับตนเอง แบบไม่ยึดติดตามทฤษฏีเล่มใด ออกแบบให้เหมาะสมในช่วงเวลานั้น ๆ เพราะสังคมเปลี่ยนเร็วมาก อย่างการค้าในอดีต B to B หมายถึงคนที่เป็นร้านค้าที่เป็นตัวแทนขายข้าวให้ แต่ในปีนี้ B to B ก็นิยามใหม่ให้กว้างขึ้นในกลุ่ม HORECA จึงเพิ่มทีม B to B ที่เป็น Food service เพื่อให้บริการด้วย ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตจากงานบริการ
สุดท้ายนี้สรุปจากประสบการณ์ วันนี้ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ อย่ายึดติดความสำเร็จเดิม เพราะจะทำให้องค์กรไม่เกิดการพัฒนา ตัวอย่าง ช่วงโควิด-19 หลายแห่งได้รับผลกระทบแต่ที่โรงงานเราสามารถรักษาตลาดและยอดขายได้ มียอดสั่งซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้น รวมถึงการสั่งซื้อข้าวเพื่อบริจาคให้วัด , โรงพยาบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ในช่วงโควิด-19 เข้ามาตลอดก็เป็นบทพิสูจน์ว่าเราได้เรียนรู้และพัฒนา ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจของตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ข้าวตราไก่แจ้วางจำหน่ายทั่วประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศอีกกว่า 20 ประเทศ ด้วยยอดขายกว่า 2,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และก้าวไปสู่ตลาดสากลอย่างยั่งยืน
สนใจติดต่อ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด 55 หมู่ 1 ต.กุฏโง้ง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี 20140
โทร : 038-473-555
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *