ท่ามกลางกระแสดรามาจากการรับบริจาคเงินที่ถูกครหาว่าไม่โปร่งใสของคนมีชื่อเสียง ตลอดจนการนำเสนอของรายการผียุค 4G ที่เน้นเรตติ้ง จนไม่สนว่าเกินลิมิตไปหรือไม่?! นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะชวน “ดีเจป๋อง” มาเปิดอกคุย ในฐานะที่เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการผีมาเกือบ 30 ปี อยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ เพราะไม่ก้าวล่วง 3 สถาบันหลัก “ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์”
รายการผี สนุกได้แต่ต้องมีลิมิต
“พี่ป๋องและทีมงาน The Shock เราจะไม่ล้ำเส้นจนเกินไป ผมไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด สิ่งที่เราจะบอกทีมงานไม่ไปแตะคือ 3 สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ชายในชุดเสื้อยืด กางเกงขายาว รองเท้าแตะหนีบลุคสบายๆ ผู้อยู่เบื้องหน้าทีมข่าว คือ “ป๋อง-กพล ทองพลับ” หรือ “ดีเจป๋อง” วัย 53 ปี ที่เมื่อได้ยินชื่อของเขาคราใด ก็คงจะนึกถึงเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจากเรื่องราวของสิ่งเร้นลับ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เรื่องผี”
จากประเด็นดรามาที่เกิดขึ้นในสังคม หลังจากที่เพจสายดาร์กอย่าง “แหม่มโพธิ์ดำ” ออกมาตั้งข้อสังเกตต่อรายการผีชื่อดัง “ช่องส่องผี” ที่มี “บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ”,“เรนนี่-สุระประภา คำขจร” และ “เจมส์-ศราวุฒิ วรพัทธ์ทีวีโชติ” เป็นพิธีกร
ถึงการบิดเบือนประวัติศาสตร์ แอบอ้างว่าสามารถติดต่อสื่อสารกับสิ่งลี้ลับได้ ติดต่อกับบูรพกษัตริย์หลายพระองค์ หลอกขายเหรียญปลุกเสก ตลอดจนเรื่องของการเปิดรับบริจาคเงินที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส จนภายหลังต้องมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าว ชี้แจงประเด็นที่ถูกพูดถึงเสียยกใหญ่
ในฐานะรุ่นพี่ผู้ทำงานเกี่ยวกับรายการผีมายาวนานเกือบ 30 ปี ดีเจป๋องได้สะท้อนถึงกรณีที่เกิดขึ้น แก่ทีมข่าว MGR Live โดยเฉพาะประเด็นของ “อาจารย์เรนนี่” ไม่สร้างความไม่พอใจให้คนในสังคม เกี่ยวกับการบิดเบือนประวัติศาสตร์และมีการโยงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง
[ “ช่องส่องผี” รายการผีที่กำลังมีดรามา ]
“ผมเป็นเหมือนพี่ วัยผมอาจจะเป็นพ่อด้วยซ้ำไป ก็ได้ยินมาว่าน้องน่าจะรู้จักเรา มีคนเคยบอกน้องอยากเจอ กับทีมงานของบ๊วยก็รู้จักกัน บางอย่างอย่าให้มันเยอะ อย่าให้มันหนักเกินไปก็แล้วกัน เพราะถ้าเราไปขนาดนั้น มันต้องมีหลักฐานที่สามารถจับต้องได้
ส่วนตัวผมไม่แตะ 3 อย่าง ผมรู้สึกว่าเป็นสถาบันที่สูง ชาติก็ประเทศชาติ ศาสนา เราจะไม่ทะเลาะกันเรื่องศาสนา ทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ยุ่ง รู้สึกว่าเราสนุกกันแค่ตรงนี้ ขออนุญาตละเว้น เราดูเราก็ตกใจเหมือนกัน ขนาดนั้นเลยเหรอ จริงเหรอ ซึ่งมันจะกลายเป็นยิ่งเยอะ สิ่งนี้มันจะย้อนกลับมาถึงตัวเขาเอง แล้วมันก็จะเป็นอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นมา เบาๆ ลงหน่อย เพราะมันก็เป็นดาบสองคม”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจุบันสื่อบันเทิงบ้านเรานิยมนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ ด้านรายการผีนั้น มีหลายรายการที่ใช้ความกล้าบ้าบิ่นเป็นจุดขาย ซึ่งสวนทางกับดีเจป๋อง ที่ยังคงดำเนินรายการอย่างมีลิมิตตามเอกลักษณ์เดิมของตน โดยไม่สนใครจะมองว่าตกยุค
“เวลาไปภาคสนาม เราทำมาหมดแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์จับผี,คนมีเซนส์, Reality 13 คนในบ้านผีสิง, ไปต่างแดน ฯลฯ เราจะทำไม่ให้มันดูสุดโต่งหรือห่ามเกินไป เอาจากความเชื่อคนโบราณที่เราได้ยินมา มองลอดใต้หว่างขา นอนปากคาบธูป เอาขี้เถ้าคนตายมาป้ายตา เอาสิ่งที่คนโบราณเคยบอกมาลองทำในยุคของเรา มีทั้งคนรู้สึกบ้าง ไม่รู้สึกบ้าง แต่ไม่ล้ำจนเกินไป เรารู้สึกว่ามันกำลังพอดี แต่ในยุคใหม่อาจจะว่าเบาไป
ในฐานะที่เป็นคนที่ทำรายการนี้มาเป็นระยะเวลานาน บางคนอาจจะมองว่า มันแก่ไปแล้ว ไม่เหมือนยุคนี้ ต้องให้มันหนัก ต้องโหด ต้องฮาร์ดคอร์ ถึงพริกถึงขิง ผมอยากจะบอกว่าทำไปเถอะถ้าสนุกในการทำ แต่อะไรที่มันฮาร์ดคอร์เกินไป ก็ลองไตร่ตรองดูว่ามันเหมาะสมน้อยมากขนาดไหน สุดท้ายตัวเราเอง ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยประสบการณ์ของแต่ละคน มันกลั่นกรองได้ครับ สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ มันเหมาะสมขนาดไหน
(รายการที่ขายความแรง) แล้วแต่มุมมองเนอะ ผมไม่แน่ใจว่าเตือนไปแล้วจะมีคนฟังรึเปล่า แต่เราคงไม่ทำ ตัวผมเองผมยังไม่กล้าเลย จะไปบอกให้น้องๆ ทีมงานทำ สงสาร เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาแค่นี้แหละ ส่วนคนไหนทำน้อยกว่าเราหรือทำมากกว่าเราก็แล้วแต่เขา ของแบบนี้มันไม่มีคำตอบที่ชัดเจนหรอกครับ คำว่า ถูก-ผิด มันไม่ได้มีอยู่ในตำรา เพราะฉะนั้นผมคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร ในมุมของเรา เราทำเท่านี้เราพอแล้ว”
บัญชีส่วนตัว “รับบริจาค” ไม่เป็นปัญหา ถ้าเจตนาดี
ส่วนอีกหนึ่งประเด็นดรามาที่ถูกตั้งข้อสังเกต นั่นก็คือ การรับบริจาคด้วยบัญชีส่วนตัว ทั้งของรายการผีชื่อดัง ตลอดจนเคสอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งในภายหลังรายการช่องส่องผีได้ออกมาชี้แจงและเปิดเผยเส้นทางการเงินจนคลายข้อครหาไปแล้ว
“ผมเข้าใจบ๊วยนะ ผมก็ดูเขาแถลงข่าวอยู่ มีสเตตเมนต์ก็เอามาโชว์ เขาก็เอามาโชว์ว่าไปทำบุญที่ไหนบ้าง ซึ่งผมไม่ติดนะกับเคสนี้ กับเรื่องของการบริจาค บ๊วยเขาก็ชัดเจน ส่วนเงินจะมาจากไหนก็ตามที่เขาบอก เพราะส่วนมากแฟนรายการของบ๊วยก็คงจะชอบบ๊วย ชอบทีมงานก็อยากทำบุญด้วย ผมเข้าใจได้ เพียงแต่ว่าสุดท้าย ถ้าเราเอาหลักฐานมาบอก คนไหนที่ชัดเจนก็ดีไปครับ มันก็น่าจะจบนะ คนที่เขาร่วมทำบุญก็สบายใจ บางเคสไม่มาบอก ไม่รู้เป็นยังไง
ส่วนเรื่องของการรับบริจาคนั้น ตำนานดีเจผีเองกล่าวว่า รายการ The Shock ของตนเองก็เป็นอีกหนึ่งรายการผีที่มีการเปิดรับบริจาคช่วยเหลือตามโอกาสต่างๆ เช่นกัน
[ The Shock ทำบุญ ช่วยเหลือสังคมตามโอกาสต่างๆ ]
“เรื่องของการบริจาค ผมมีมาตั้งนานแล้ว แต่การจะตั้งเป็นมูลนิธิมันยุ่งยาก ผมเองคิดว่าก็อยากจด ก็ไปปรึกษากับธนาคาร เขาบอกว่า เปิดเป็นมูลนิธิมันยุ่งยากมาก เอาอย่างนี้มั้ย เป็นชื่อพี่นั่นแหละ กพล ทองพลับ แต่วงเล็บ เพื่อ The Shock ทำบุญ ฉะนั้น บัญชีนี้จะเป็นเงินทำบุญทั้งหมด ผมจะไม่เข้าไปแตะมันเลย ไม่เคยเอาเงินออกมาทำเรื่องส่วนตัวเลย”
พอเราทำรายการเกี่ยวกับผี เลยรู้สึกว่าเราควรทำบุญเนอะ โดยที่ผมชัดเจน ทำมาตลอดหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้เป็นหลักล้านๆ ได้รับหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน เราก็ดีใจแล้ว พี่ป๋องกับทีมงาน คิดว่าทำ 3 สิ่งนี้น่าจะครอบคลุมหมด คือ ทำกับคน คนตกทุกข์ได้ยาก คนจน คนพิการ ทุกอย่าง ทำกับสัตว์ มีการชวนแฟนรายการไปทำกิจกรรม เช่น เอาอาหารหมาแมวไปบริจาคตามบ้านต่างๆ แล้วก็ทำกับสิ่งที่มองไม่เห็นคือทำกับผี เราจะเลี้ยงโต๊ะจีนผี 100 โต๊ะ ทำบุญโลงศพ
ล่าสุด ผมไปช่วยโควิด-19 อยากทำบุญกับคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ เพราะเราเป็นร้าน The Shock ช่วงที่คนแย่ๆ เรารู้สึกว่าเรายังพอมีกำลัง ผมก็เลยทำกับข้าวเลี้ยงมื้อเย็น 10 กว่าวัน วันละ 100 กว่ากล่อง พอถึงช่วงที่ยังไม่ได้ปลดล็อกหมด ผมรู้สึกว่ายังมีคนเดือดร้อนอีกเยอะ ผมใช้วิธี The Shock ช่วยชาวบ้าน แจกแฟนรายการคืนละ 10 คน คนละ 300
ผมแจกมาถ้านับจำนวนคนก็หลายร้อยคน แฟนรายการเขาอยากร่วม เราก็เปิดเลย ใครจะบริจาคเท่าไหร่ ไม่ซีเรียส ผมบอกตลอดว่า ทำบุญบาทนึง กับทำบุญร้อยบาท แสนบาท ล้านบาท มูลค่าความสุขเท่ากัน”
พร้อมกันนี้ เขายังได้ฝากถึงใครก็ตามที่เปิดรับบริจาคเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความจริงใจและควรนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาล้วนแต่เป็นเงินที่มอบให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
“สำคัญคือความไว้ใจก่อน รักรายการนั้นถึงมาร่วมทำบุญด้วย เพียงแต่ว่าความไว้ใจต้องตอบแทนด้วยความชัดเจน ผมมีโครงการบริจาคโลงศพ 500 โลง ภาคละ 100 โลง ผมไปบริจาคที่ภาคใต้แล้ว เดี๋ยววันที่ 11 ก.ค. ผมจะขึ้นไปมอบที่ภาคเหนือ มันเฉลี่ยโลงละพัน ภาคละแสน ผมได้ครบแล้ว มันก็มียอดที่เลยขึ้นมาจาก 5 แสน ผมก็บอกว่าที่มันเกินมาไม่ต้องห่วง ผมก็มาทำข้าวแจก มาแจกแฟนรายการ The Shock ช่วยชาวบ้าน
มันคือเงินทำบุญ ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเอาเงินทำบุญไปทำเรื่องส่วนตัวเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ผมต้องบินไปบริจาคโลงศพที่เชียงใหม่ ผมไม่กล้าเอาเงินนี้ไปเป็นค่าเครื่องบิน ผมยังพอมีกำลังในการหาเงินไปจ่าย มันเป็นเงินที่มีความบริสุทธิ์มากๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ของเงินทำบุญ ต้องเป็นเงินทำบุญ
เราทำหน้าที่เป็นสะพานที่เอาไปช่วยต่อ ขอให้ไว้ใจเถอะ เงินก้อนนี้เราไปทำบุญหมด ซึ่งบัญชีในรายการเรามันเปิดตลอด ถ้าไม่มีช่วงไหนที่เราให้ร่วมทำบุญก็ไม่มีบริจาคมา แต่ว่าเมื่อไหร่มีคนทำบุญเข้ามาครบแล้ว ซึ่งไหลเข้ามาผมคงไม่โอนคืนให้ ผมก็จะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นได้อีก เขาก็จะรู้ว่าพี่ป๋องทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ผมว่าใจผมบริสุทธิ์ ไม่กลัวดรามา ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นภูผาหิน แต่ผมว่าผมแข็งแกร่งพอ ตัวเรารู้ ใจเรารู้ ผมสบายใจ”
ยอมรับ “ท้าทาย” แต่ “ไม่ลบหลู่” “คำว่าท้าทาย เอาจริง คำนี้มันก็ถูกแหละครับ จุดประสงค์คือเราอยากรู้ว่าเขามีหรือไม่มี ถ้ามีก็ออกมาให้เห็นหน่อย ทุกรายการก็อยากพิสูจน์ มันเลยไปแตะคำว่าท้าทาย แต่จะท้าทายในรูปแบบไหน ความจริงทุกสื่อแหละ จะทีวี จะวิทยุ รายการไหน พอเป็นเรื่องแบบนี้คนสนใจ มันก็ลุ้น ใช่เปล่าวะ ข่าวก็ทำข่าวกันอีรุงตุงนังไปหมด แสดงว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เร้าใจความรู้สึกคนดู จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ขอเงี่ยหูฟัง ขอเพ่งตาดูหน่อย ลบหลู่คือขนาดไหน เราไปก็จุดธูป ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เจ้าทาง ช่วยเปิดทางให้เรามาทำงานตรงนี้ด้วยนะครับ ถ้ามีก็ออกมาให้เห็นจะได้พิสูจน์ว่า ยังมีอะไรบางอย่างอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ ก็จุดธูปบอกกล่าวและทำพิธีกรรมอย่างที่เล่าไป เสร็จงานก็มีขอขมา ซึ่งถูกผิดก็ไม่รู้นะ แต่ว่าเราขอขมา ถ้ามันมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีก็ขออภัยด้วย บางทีก็บอกตัวเองว่า ผีก็เคยเป็นคนมาก่อน ก็มีทั้งผีที่ดีและไม่ดี พี่ทำมา 30 ปีก็อยู่ของพี่อย่างนี้ สร้อย แหวน เงินทอง พระ วัตถุมงคล ไม่มีซักอย่าง พี่รู้สึกว่าพี่ทำงานแล้วก็มีเส้นของพี่ พี่เชื่อหลักการอย่างนึงว่า ถ้าคุณมีจริง คุณต้องอ่านใจเราออก เราบริสุทธิ์ เรามาทำงาน เป็นงานที่เราชอบแบบนี้ แล้วก็อยากจะนำเสนอแบบนี้ สิ่งที่มันออกมาไปในภาพหรือเสียง หรือบางอย่างมันสุ่มเสี่ยง แตะคำว่าลบหลู่หรือท้าทายก็เป็นได้ แต่ในใจเราไม่ได้คิดอย่างนั้น” |
“The Shock” กับเส้นทางความหลอนเกือบ 3 ทศวรรษ
“รายการ The Shock มันเป็นรายการที่เริ่มต้นมานานหน่อย พี่ว่าน่าจะแตะๆ 30 ปีได้แล้ว ในยุคนั้นมันยังไม่มีออนไลน์ ไม่มีโซเชียลมันเริ่มต้นจากรายการวิทยุเล็กๆ สมัยที่อยู่ Smile Radio ใช้ชื่อช่วงว่า Smile Shock พี่ป๋องจัดรายการ 3 ชม. ในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีสาม มีเพลง 1 ชม. เรื่องผี 1 ชม. แล้วก็มีเพลง 1 ชม. จากนั้นก็ค่อยๆ กลาย ตัดทิ้งเรื่องเพลงแล้วก็เป็นเรื่องผี เป็นประสบการณ์จากทางบ้านซะเป็นส่วนใหญ่
ปัจจุบันรายการผีมีเยอะมากจริงๆ เดี๋ยวนี้คนมีมือถือ 1 เครื่อง ก็สามารถที่จะไลฟ์สด ทำรายการผีได้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เพียงแต่ The Shock มันเริ่มต้นก่อน เราโชคดีที่เรามีจุดยืนและจุดแข็งที่ชัดเจนว่าของเราเป็นรายการที่ทำเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก”
ท่ามกลางกระแสดรามามากมาย แต่รายการ The Shock ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้มายาวนานจนถึงตอนนี้ แม้คลื่นวิทยุจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านการจัดรายการของดีเจป๋องและทีมงาน ที่มีจุดยืนคือความเป็นกลาง และไม่ตัดสินว่าเรื่องผีที่แฟนรายการถ่ายทอดนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
“พี่ป๋องโดนถามเยอะมาก มันเรื่องจริงมั้ย ผมบอกเรื่องที่ออกอากาศในรายการเป็นเรื่องเล่า เพราะคำว่าเรื่องจริงผมต้องไปอยู่ตรงนั้น เห็นเหตุการณ์กับตา ผมถึงจะเชื่อว่าเหตุการณ์จริง เรื่องพวกนี้ ผมวางตัวเป็นกลางมาก บางเรื่องฟังแล้วเรื่องนี้มันอาจจะโอเวอร์ แต่มันสนุก เมื่อจบเรื่องก็แค่จบ เหมือนเราดูหนังเรื่องนึง มันเป็นความโชคดีที่เรามีระยะเวลามานานพอสมควรเกือบ 30 ปี เราต้องทำให้มันมีจุดแข็ง เราเป็นรายการที่ย้ำเรื่องของการทำแบบนี้มาเรื่อยๆ
ในความเป็นเรื่องผี เราก็สอดแทรกเรื่องของการทำดีทำชั่ว เรื่องของเวรกรรม ผมว่าคนให้ความสนใจขึ้น เพราะว่าตอนเริ่มต้นทำรายการใหม่ๆ ก็มีผู้ใหญ่ มีนักวิชาการเขาติ รายการดูไร้สาระรึเปล่า แต่ว่าความไร้สาระมันก็มีสาระที่แฝงอยู่ สุดท้ายก็ตอบโจทย์ข้อแรกว่า ฟังเพื่ออะไรล่ะ ฟังเพื่อความสนุก ฟังเพื่อความบันเทิง พี่ป๋องเลยทำตัวเป็นกลาง ไม่ซ้ายไม่ขวาเลย เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เราเป็นคนที่ไม่ใช่ไม่เชื่อเลย เราฟังเรื่องเล่าทั้งหมดด้วยความเป็นกลาง
เหมือนกับถ้าเรามีน้ำอยู่เต็มแก้ว พี่เทน้ำของพี่ออกไปก่อนให้เป็นแก้วเปล่า เมื่อฟังปุ๊บ ไม่เอาของเดิมที่เคยฟังมาตัดสิน ตามเรื่องเขาไปโดยที่ไม่คิดล่วงหน้า บางทีในใจเราอาจจะเดาได้แต่ไม่เดา ถ้าเดาเดี๋ยวไม่สนุก เราก็ตามไปกับเรื่อง มีข้อสงสัยอะไรค่อยถาม เราสนุกกับการได้ซักถาม ถ้าเป็นมวยเป็นแค่พี่เลี้ยงเอง คนเล่าเหมือนนักมวย เราคอยประคองเรื่องให้เข้าเส้นชัย เรามีหน้าที่ให้กำลังใจ แล้วก็เป็นเพื่อนเขาเพื่อให้เรื่องมันจบได้ดีที่สุด”
แต่เมื่อถามว่า ตลอดการจัดการกายมา มีเรื่องผีที่ประทับใจเป็นพิเศษบ้างหรือไม่ เจ้าพ่อรายการผีผู้นี้กลับตอบว่า “ไม่มี”
“ประโยคนี้เป็นประโยคที่โดนถามเยอะมาก ไม่มีนะ เหตุผลคือ พี่ไม่ได้เป็นนักเล่าเลย พี่เป็นแค่นักฟัง ต้องขอบคุณพี่จาตุรงค์ ที่บัญญัติคำนี้ให้พี่ “ป๋องมันไม่ใช่นักเล่า มันเป็นนักฟัง” พี่คือนักฟังเรื่องผี ให้พี่เล่าเรื่องผี พี่เล่าไม่ดีด้วยซ้ำไป เล่าไม่เก่ง ไม่น่ากลัว ลำดับเรื่องไม่เก่ง
แต่พี่เป็นคนที่ชอบฟังเรื่องผี เป็นคนที่ฟังแล้วอินกับมันมาก มีความสุขมาก ที่ชอบที่สุดในชีวิตคือเรื่องผีกับเรื่องบอล เราก็จะมีความสุขกับมัน จริงๆ เรื่องผีที่ฟังมา มีหลายเรื่องน่ากลัวนะ แต่พี่เป็นคนความจำสั้นมาก ฟังแล้วไม่ต้องเก็บมาคิดมาก พี่ว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ ไม่อย่างนั้นพี่จำได้ทุกเรื่อง คงหลอน คงประสาทรับประทานไปแล้ว
พี่เป็นคนนึงที่เหมือนฟังเรื่องผีจบปุ๊บ เหมือนปิดสวิตช์เลย แล้วพี่ก็โชคดี เมื่อกลับไปบ้านเหมือนทิ้งทุกอย่างไว้นอกบ้านหมดเลย ล้มตัวลงนอนปุ๊บ พี่สามารถหลับได้เลย แต่ตอนระหว่างเรื่องเล่า บางทีเราฟังเรื่องของคนที่เล่าแล้วไม่กล้าออกจากสถานี ไม่กล้าขับรถออกมา ฟ้าสว่างค่อยกลับบ้าน”
คนแห่มาสตูฯ ตอนเที่ยงคืน เสน่ห์รายการผียุคก่อน 4G
นอกเหนือจากการเป็นคลื่นวิทยุที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานแล้ว รายการ The Shock ยังสร้างประวัติศาสตร์ความทรงจำก่อนที่จะมีโซเชียลมีเดียแพร่หลาย จากเหตุการณ์ที่มีแฟนรายการนับพันแห่กันมาที่ห้องส่ง เพื่อมาชมการจัดรายการสดๆ และชมการจัดแสดงภาพถ่ายติดวิญญาณที่ทางบ้านส่งเข้ามา แม้จะดึกแค่ไหนก็ตาม
“ย้อนกลับไปเมื่อหลายปี ซอยลาดพร้าว 101 มันฮือฮาเรื่องเป็นซอยน่ากลัว ซอยเปลี่ยว ผีดุอะไรก็ว่ากันไป แล้วบังเอิญสถานีอยู่ในซอยนั้น ทางเข้ามาต้องผ่านแท็งก์น้ำที่เคยมีเรื่องเล่า สมัยนั้นมันคือชื่อรายการว่า Boom Radio ของพี่ป๋องใช้ชื่อช่วงว่า 90' Shock มันก็จะเป็นสตูที่ถ่ายทำรายการ ใช้พื้นที่ชั้น 2 เป็นสถานีวิทยุ
พี่เองก็จัดรายการไปก็จะมีภาพผีที่ได้จากแฟนรายการ มีบางอย่างติดมาบ้างไม่ติดมาบ้าง เอามาใส่กรอบให้ดู ตอนนั้นไม่มีโซเชียล ไม่ถึงขั้นนิทรรศการหรอก เอาภาพมาเรียงๆ ให้ดูกัน พอเราพูดไปก็จะมีแฟนรายการขับรถเข้ามา คืนนึงเป็นร้อยเป็นพัน ตอนเที่ยงคืน
ยุคนั้นมันไม่เหมือนยุคนี้ มันไม่มีออนไลน์ ไม่มีโซเชียล ไม่มีถ่ายภาพแล้วแชร์ ใครอยากดูก็ต้องมาดู ข้างล่างรถจอดเต็ม มีจัดฉายหนังกลางแปลงเรื่องแม่นาคพระโขนง คนมาเต็มโกดังเลย แต่ก่อนก็สนุกดี คนก็แห่มาดูตอนจัดรายการ เหมือนตู้ปลา มีกระจก คนก็มาดูพี่ป๋องจัดรายการแล้วก็มาดูภาพผีกัน
ไม่น่าเชื่อว่าตอนดึกเที่ยงคืนจะมีคนฟังเยอะมาก มืดฟ้ามัวดิน คิดว่าตอนนี้คงไม่มีแล้วครับ สิ่งต่างๆ ที่มันเคยอยู่ในอดีต ปัจจุบันมันไม่มีแล้ว ความรู้สึกนั้นมันกลับมาไม่ได้แล้ว ถ้าวันนี้มีคนไปดู ถ่ายรูป แชร์ แต่ตอนนั้นมันที่สุดมาก คนแห่มาเป็นปรากฏการณ์”
นอกจากนี้ เขายังเป็นคนแรกๆ ที่นำอุปกรณ์ตรวจจับพลังงานเข้ามาใช้ในรายการ ด้วยหวังว่าจะนำเสนอทั้ง 2 มุม ทั้งฝั่งที่จับต้องไม่ได้ และในมุมของวิทยาศาสตร์
“เรื่องผีมันจับต้องไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความเชื่อ มันต้องมีอุปกรณ์อะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์มารองรับให้มีทางเลือกว่าอันนี้แนวผีนะ อันนี้แนววิทยาศาสตร์นะ อย่างน้อยเราไม่ได้นำเสนอแค่แนวนี้แนวเดียว เราก็ลองมาบาลานซ์กัน มันน่าจะดี
รายการผีบ้านเราไม่ได้เป็นประเทศแรกที่มี ต่างชาติเขาก็จะมีชมรมจับผีอะไรต่างๆ เราทำรายการผีมาเกือบ 30 ปี ต่างประเทศคงไม่ได้แตกต่างกับเรา แต่ว่าฝรั่งเขามีความเชื่อเรื่องผีว่าเป็นพลังงาน มันก็จะมีชมรม เขาก็จะมีอุปกรณ์ขึ้นมา เยอะมาก มีตั้งแต่รุ่นที่เป็นแมนนวล เป็นดิจิตอล ลักษณะของปืนมั่ง เลเซอร์มั่ง ตัวจับพลังงานเป็นเหมือนมิเตอร์วัดไฟมั่ง ก็ไปสั่งซื้อพวกนี้มา
ยุคนั้นเป็นเสียงติ๊ดๆๆๆ ฝรั่งเขาบอกถ้าเอาเครื่องนี้ไปตรวจตรงที่มีวิญญาณ ถ้าไม่มีก็ไม่ดัง ถึงดังก็ไม่ได้ตีความว่าเป็นผีนะ พี่ว่าเป็นของเล่น อย่างน้อยทำให้เรามีอะไรเล่น มีตั้งแต่หลักพันยันหลักหมื่น เป็นแสนก็มีนะ พี่ป๋องสั่งมาหลายชุดแล้วตอนมิติลี้ลับ มันก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนมือถือเปลี่ยนไปตามรุ่น”
ไม่เพียงแค่อุปกรณ์จับพลังงานที่ปรับเปลี่ยนให้ทันยุค 4G เท่านั้น ในฐานะตัวผู้จัดรายการเอง ก็ต้องทำการบ้านและพัฒนารูปแบบให้ทันตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน
พร้อมเผยถึงความฝันที่อยากให้มีมีพิพิธภัณฑ์ผีไทยและผีเทศ ตลอดจนการการรวมตัวของคนรักเรื่องผี ให้เป็นสมาคมเหมือนกับอาชีพอื่นๆ
“ก็ทำมาทุกอย่างแล้วนะครับ ก็มาไกลแล้วนะ แต่ใจเราอยากทำรายการที่เอารถตู้เหมือนในหนังมีอุปกรณ์ ไปสถานที่แล้วสดเลย ให้เห็นจะจะ ไม่มีตัดต่อ เจอก็เจอ ระหว่างนั้นคนฟังก็ส่งข้อความมา โทร.เข้ามาให้ทำอะไร มันก็คงสนุกดี เราทำงานทุกอย่างก็ต้องพยายามหาวิธีการที่มันมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ มาเติม ตัวเราเองก็สนุกกับการทำงานด้วย
กับอยากรวบรวมรายการผีทุกๆ รายการมารวมไว้ เราเป็นคนบ้าบอลเนอะ มันมีสมาคมฟุตบอลใช่มั้ย เราอยากมีสมาคมรายการผี ให้มันสร้างสรรค์ ให้มันได้ประโยชน์เพื่อสังคม เพราะรู้สึกว่าเห็นหลายอาชีพเขามีสมาคม
อีกอันที่อยากทำคือพิพิธภัณฑ์ผี ที่เป็นการรวบรวมผีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมาไว้ที่นี่ จำลองสถานที่เหมือนกับเป็นปราสาทผีสิง ในนั้นจะมีรูปปั้นเปรต กระสือ ผีไทยทั้งหลายแหล่ รวมไปถึงผีต่างชาติ อธิบายเป็นภาพเป็นเสียง ในนั้นก็มีคาเฟ่ มีร้านอาหารที่มันเป็นแนวสยองขวัญ แล้วก็มีจัดฉายหนังผี ที่มันอยู่ใน Community mall นี้ แล้วข้างบนก็เป็นห้องจัดรายการ”
มีวันนี้เพราะ “ผี” ให้
“ตอนนั้นเรียนราม ยังไม่ได้เป็นดีเจ ยังไม่ได้ทำเรื่องผีเลย ก็ยืนเตะบอลกันอยู่ ลุงคนนี้เป็นลุงที่ผิวสีเข้ม ผมสีดอกเลา หน้าตอบๆ ใส่เสื้อเชิ้ตลายสกอต กางเกงสแลกสีเทาๆ ดำๆ ลากแตะหนีบ เขาก็เดินผ่านทุกคน มาจนถึงเรา แล้วเขาก็บอกว่า “ขอดูมือหน่อย” เราเหมือนโดนสะกด ก็แบมือให้เขา แล้วเขาก็บอกว่า “ต่อไปต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกของวิญญาณ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ” จับมือเราพับ แล้วเขาก็เดินไป
เขาพูดแค่นั้นแต่มันอิมแพกต์กับเรามาก ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมันย้อนแย้งกับสิ่งที่เราเป็น กลัวผีก็กลัว จะไปเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณได้ยังไงวะ ทุกอย่างถูกทิ้งไว้โดยที่ไม่มีคำตอบ หลังจากนั้น ก็ไม่เคยเจอลุงคนนั้นอีกเลย มันเป็นปริศนาไว้ ก็ไม่ได้สนใจ
แต่พอผ่านเวลาไป เราได้มาทำรายการผี สิ่งนี้มันย้อนกลับมา ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ วันนั้นลุงแกเป็นใครวะ เป็นคนหรือเป็นผี หรือเป็นเทวดา หรือเป็นผู้ทรงศีล หรือเป็นหมอดู แต่เรานึกได้ว่าในวันที่เราเริ่มต้นทำรายการผี ไม่อยากเชื่อเลยครับ (ถ้าคุณลุงยังอยู่จะบอกอะไร) ขอบคุณคุณลุงมากเลยครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณลุงเป็นคนหรือไม่ใช่คน แต่อยากจะขอบคุณคุณลุงมาก แล้ววันนี้ผมได้มาอยู่ตรงนี้จนได้”
จากคำพูดเพียงไม่กี่คำของชายปริศนา ที่นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ คือการที่ ป๋อง กพล ประสบความสำเร็จในเส้นทางของการเป็นนักจัดรายการวิทยุรายการผี
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ย้อนกลับไปในอดีต เขาเติบโตมาในชุมชนแออัดย่านสุทธิสาร ด้วยพ่อแม่หวังจะให้มีสังคมที่ดี จึงส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง ประกอบกับติดเล่น ติดเที่ยว จึงทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา
“จนวันหนึ่งเริ่มมานั่งคิดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันจะยังไงวะชีวิต พ่อแม่ก็แก่ตัวลงเรื่อยๆ น้องก็ยังเรียนอยู่ ถ้าเราทำตัวอย่างนี้จะเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ได้ยังไง ต้องทำอะไรบางอย่าง ควรจะขวนขวายในสิ่งที่ตั้งเป้าในชีวิต อยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ ตั้งเป้าไว้ตั้งนานแล้วตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมต้น พยายามศึกษา ไปสอบใบผู้ประกาศ ก็สอบได้
แต่ก่อนพ่อแม่ก็ไม่แฮปปี้หรอก ลูกมาเต้นกินรำกิน อาชีพนี้สมัยก่อนคนก็ไม่ค่อยยอมรับเนอะ มันไม่จีรังยั่งยืน มันไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่เหมือนพวกราชการ มีบำเหน็จบำนาญ แต่ผมก็ว่าพอได้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่หากินกับผี ก็ชัดเจน ไม่ได้ไปเบี่ยงคำหรือไปหลบคำ เพราะงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวรายการวิทยุก็ดี หรือว่าจะเป็นร้านก็ดี”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามว่า อยากบอกอะไรกับน้องๆ เด็กรุ่นใหม่ ทำยังไงให้หาตัวเองให้เจอ เขาก็ให้คำตอบว่า เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ก็ต้องเดินไปถึงตรงนั้นให้ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องอยู่บนพื้นฐานของการเป็นคนดี
“ถามว่ามาถึงตรงนี้ได้ ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นเพราะพี่นะ พี่ไม่เก่ง ความรู้ความสามารถก็น้อยมาก เวลากรอกใบสมัครทีไม่รู้จะกรอกอะไร ต้องบอกว่าโชคดีที่มีพ่อแม่ที่ดี สิ่งที่มองไม่เห็นก็อาจจะรักเรา และช่วยดลบันดาลให้เรามาถึงตรงนี้ได้ ลำพังตัวพี่เองไม่เก่งอะไรซักอย่าง 100 คน อาจจะมีโชคดีอย่างเราซักคนนึงมั้ง เป็นไปได้ก็ควรเรียนก่อน เอาให้จบก่อน แต่พี่มันอาจจะนอกระบบไปหน่อย ถ้าย้อนไปได้จริงๆ อยากเรียนนะไม่ใช่ไม่อยาก
มันต้องถามตัวเองก่อน ไม่รู้ว่าน้องๆ เมื่อตอน 12-13 ขวบ จะเป็นยังไง แต่ตอนนั้นคิดเลยว่าอยากเป็นดีเจ คำว่าเป็นดีเจไม่รู้ว่าจนหรือรวย ดังหรือไม่ดัง ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย แต่อยากเป็น เราเริ่มต้นจากความสนุก ผมว่าถ้าคนเราเริ่มต้นจากความสนุก ความรัก เดี๋ยวทั้ง 2 อย่างมันจะพาเราไปในจุดที่ควรจะเป็น ผมคิดอย่างนั้นนะ
จะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ ขอให้อยู่ในพื้นฐานที่คิดดี ทำดี มองโลกในแง่ดี มีความสุขกับมันในทุกวินาที ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผมเองโตมากับการมองโลกในแง่ แต่ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ ผมยังเป็นคนเทาๆ ผมว่านั่นจะทำให้พบเจอตัวเองได้ง่าย และเมื่อเจอแล้ว ลองทำให้มันเต็มที่”
[ “น้องเป็ดน้ำ” และ “น้องปลาวาฬ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อป๋อง ]
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ดีเจป๋องเองได้เผยเป้าหมายในอนคตไว้ว่า นอกจากการให้รายการผีสร้างมากับมือ อยู่คู่กับสังคมไทยไปให้นานที่สุดแล้ว อีกสิ่งคือการเลี้ยงดู “น้องเป็ดน้ำ” และ “น้องปลาวาฬ” ทายาททั้งสองให้เป็นคนดีของครอบครัวและสังคมต่อไป
“ไม่มีอะไรซับซ้อนในชีวิตเลยครับ เป้าหมายเปลี่ยนไปแล้ว คือ ลูก 2 คน เป็ดน้ำ กับ ปลาวาฬ บอกเขาทุกวัน หนูจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งป๊าไม่รู้หรอก หนูต้องคิดดีนะ ต้องทำดีนะ ต้องกตัญญูกตเวทีนะ ต้องรักพ่อรักแม่รักครอบครัวนะ ต้องมีจิตใจที่ดีนะ ก็พยายามบ่มเพาะเขาทุกวัน ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ค่อยๆ ซึมไปที่ตัวเขา และเขาจะได้รับจากเราไป จากแม่เขาด้วย เพราะพี่กับภรรยาเป็นคนมองโลกในแง่ดีทั้งคู่
แล้วก็อยากทำรายการให้นานที่สุด ด้วยวันที่พี่อยู่มานานค่อนชีวิต ย้อนกลับไปจุดเดิมก็คืออยากทำรายการที่คนโทร.มาเล่า มาแชร์ประสบการณ์ที่มันตื่นเต้น น่ากลัว สยองขวัญ จากสูงสุดคืนสู่สามัญ ก็คือเรื่องเล่า อยากให้รายการนี้มีไปเรื่อยๆ วันนึงถ้าไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ก็อยากให้รายการนี้มันอยู่ ณ วันนี้เรายังมีพลังอยู่ก็อยากจะเก็บรายการ The Shock ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้”
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: กีรติ เอี่ยมโสภณ, อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pong_theshock และแฟนเพจ “THE SHOCK 13”
ขอบคุณสถานที่: ร้าน “TheShock ข้าวต้มผี” (ชั้น 2 “สนามฟุตบอลคริสตัล ปาร์ค”)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **