ทำไมเรื่องเซ็กซ์ต้องยกให้ผู้ชายเป็นคนป้องกัน และทำไมผู้หญิงไทย จะโนบรามีอิสระเรื่องการใส่บิกินีทั้งๆ ที่ก้นลายไม่ได้!! นี่คือความรู้สึกและการตั้งคำถามของผู้หญิงคนนี้ ที่ขัดใจกับทัศนคติของคนไทย โดยมุมมองเรื่องเซ็กซ์และในฐานะคนที่เป็นกูรูบล็อกเกอร์สาวมั่นที่เป็นกระบอกเสียง แม้กระทั่งเรื่องแซ่บๆ ส่วนตัวของผู้หญิง และบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะทำให้รู้จักมุมมอง และทัศนคติของเธอมากยิ่งขึ้น
อย่าหวังพึ่ง “ถุงยาง” ผู้หญิงต้องพึ่ง “ยาคุม”
“มีคน Inbox เข้ามาถามเกิน 200 ข้อความว่า(ฝังยาคุมแล้ว)แตกในได้มั้ยคะ ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่เรารู้สึกว่ามันเจ็บปวด เพราะว่ามันเป็นคำถามที่เราต้องคิดก่อนนะว่า ผู้ชายมี(เซ็กซ์กับคนอื่น)มาแล้วกี่คน แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีโรค คุณมั่นใจแค่ไหน ไปตรวจแล้วเหรอ”
สาวสุดแซ่บ ผิวแทน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ที่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์ ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือ “แนนซี่ นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์” วัย 29 ปี เจ้าของเพจ "HappyNancy” บล็อกเกอร์ท่องเที่ยวสาวในชุดบิกินี่ ที่หลงใหลการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ จนได้รับฉายา “เจ้าแม่แห่งท้องทะเล”
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยนิสัยกล้าพูด และกล้าแสดงตัวตน ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งกระบอกเสียงของผู้หญิง แม้กระทั่งการให้คำแนะนำเรื่อง "เซ็กซ์” อีกทั้งยังปลุกสังคมไทยให้มองว่าการการป้องกันเป็นเรื่องที่ดี และสามารถคุยกันได้ พร้อมทั้งสะท้อนความคิดบวกๆ ถึงแง่มุมชีวิตของเธอด้วย
“อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นการชี้นำว่าฝังยาคุมแล้วแตกในได้ มันมีอีกหลากหลายสิ่ง อันนี้คือฝังพร้อมกับคุณสามีด้วย สามีตรวจแล้วเรียบร้อย
คือเราแต่งงานแล้ว ซึ่งเปิดเผยได้ว่า เราตรวจอะไรเสร็จหมดแล้ว เราคุยกันแล้วเราแต่งงานกัน เราจะเป็นคู่ชีวิตกัน เราจะอยู่กัน 2 คน ห้ามไปมีใดๆ
แต่ถ้าคนอื่นที่เขาอ่านโพสต์เรา แล้วเข้าใจว่าฉันมีแฟน แต่ฉันไม่มั่นใจว่าจะอยู่กับคนนี้ แต่เมื่อคืนฉันไปเที่ยวมา one night stand มา มันมีความเสี่ยงนะ ไม่ใช่ว่าคุณไปฝังแล้ว คุณจะไปทำอะไรได้หมด”
จากข้อเขียนบนสเตตัสที่ถูกพูดถึง แนนซี่นึกย้อนประสบการณ์ที่ได้รับ พร้อมย้ำให้ฟังว่าเป็นเรื่องปกติ เธอไม่ได้สนับสนุนไม่ให้ใส่ถุงยาง แต่การฝังยาคุมนั้นสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99% และมันคือเรื่องธรรมชาติที่เราทุกคนต้องเจอ ซึ่งหลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าหากฝังจะป้องกันการหลั่งในได้
“มันเป็นเรื่องปกติมาก แรกเริ่มมาจากที่ว่าเรามีแฟน แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเรามีแฟน เราควรที่จะปกป้องหรือดูแลตัวเองบ้าง ไม่ใช่ยกภาระหน้าที่นี้ให้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายปกป้องอย่างเดียว
โดยการให้ฝ่ายชายพูดง่ายๆ คือการใส่ถุงยาง แต่ถ้าสมมติว่ามันมีการพลาดด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามใดๆ อาจจะขาดหรืออะไร มันมีหลากหลายปัจจัย
ถ้าเรามองว่าเราสามารถดูแลตัวเองปกป้องตัวเองได้ ทำไมถึงไม่ทำ ทำไมเราต้องอยู่ในความเสี่ยง ชีวิตเราอยากออกไปเที่ยวอีกเยอะ ทำไมเราต้องมาเสี่ยงอะไรในความที่เราไม่พร้อม เพราะฉะนั้น เราก็เลยรู้สึกว่าลองหาวิธีดู”
ถามว่าสามารถเลือกวิธีอื่นได้มั้ย สาวแซ่บคนนี้ให้คำตอบเอาไว้พร้อมเปิดแขนเสื้อให้ดูรอยฝังที่แขน ว่ามีวิธีให้เลือกป้องกันได้หลายแบบ แต่เลือกวิธีนี้เพราะผลข้างเคียงที่ได้รับน้อยที่สุด และการฝังยาคุมเป็นทางเลือกรูปแบบใหม่ล่าสุด ที่มีการทำงานประสิทธิภาพถึง 5 ปี
“ตอนแรกเริ่มกินยาคุมก่อน รู้สึกกินยาคุมตอนนั้นมันเวียนหัวมากเลย อ้วก และกินเก่งมาก น้ำหนักขึ้นมา 10 กิโล เราก็รู้สึกว่ามันมีวิธีอื่นมั้ย ก็เลยลองหาข้อมูลดู ปรึกษาคุณหมอก็ไปเจอวิธีการใหม่ล่าสุด คือการฝังยาคุม
เราหาข้อมูลก่อนจะทำเยอะมาก แล้วพบว่าเมืองนอกเขามีให้ฝังฟรีเลยนะ เด็ก 11 ปี ก็เริ่มฝังได้ พอมีประจำเดือนก็ไปฝังได้เลย และผลข้างเคียงมันน้อยที่สุด
เราคิดว่าการฝังยาคุมมันมีผลดีกับเรา ถ้าเราเป็นนักดำน้ำ เราไปออกทริปตลอดเวลา การไปฝังยาคุมมันจะทำให้ประจำเดือนหายไป เราสนใจตรงนี้ เลยไปปรึกษาคุณหมอแล้วฝังยาคุม
พอเราฝังยาคุมเสร็จ ตอนนั้นก็มีข่าวที่ดาราคนหนึ่งไปทำดาราอีกคนท้อง แล้วเราก็รู้สึกว่าเฮ้ย!! ฉันไปฝังยาคุมมา ฉันอยากแชร์ประสบการณ์นี้ให้กับผู้หญิงอีกหลายคน ที่เขาไม่พร้อมที่จะมีน้อง แต่เขาอยากมีแฟน และถ้าหากวันหนึ่งเขาพลาด เขาสามารถปกป้องและดูแลตัวเองได้ ก็เลยแชร์อันนี้ออกไป”
ถามมุมกลับ ทำไมผู้ชายไม่ใส่ถุงยาง ทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายป้องกัน “ถ้าสามารถดูแลตัวเอง ปกป้องตัวเองได้ ทำไมถึงไม่ทำ” เธอรีบเผยคำตอบให้ฉุกคิดทันที
“แม่เรา support เราทุกเรื่อง คือเขาก็ดีใจ ไม่ว่าอะไรเลยนะ เขาดีใจด้วยซ้ำที่ลูกรู้จักป้องกันตัวเอง คือเราไม่พร้อมจริงๆ เราไม่อยากมีลูก เรารู้สึกว่าเราอยากเที่ยวก่อน มันไม่พร้อม
เรื่องถุงยางเป็นเรื่องที่ปลูกฝังตั้งแต่สถาบันครอบครัว และสถานบันการศึกษาต้องปลูกฝังมาแล้ว อันนี้ก็อยู่ที่จิตใต้สำนึกผู้ชายแล้วว่าจะใส่หรือไม่ใส่
อันนี้พูดถึงในกรณีที่ใส่ถุงยาง แล้วถุงยางแตกพลาดพลั้งจนท้อง ก็ต้องรู้แล้วว่า ถ้าแฟนดีจริงๆ จะต้องมีการฉุกคิดอันนี้ขึ้นมาได้ ว่าจะต้องป้องกันอย่างดีถูกมั้ย หมายความว่าถ้ามันพลาดจริงๆ แล้วท้อง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
สำหรับแนนซี่ หากต้องพูดคุยกันเรื่องนี้โดยเฉพาะ มองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สาวๆ ควรทำความรู้จักอย่างใกล้ชิด และมองว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกๆ ที่สามารถแชร์เรื่องเหล่านี้ได้
“เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ง่ายมากเลย สามารถทำได้จริง เหมือนเราจะชอบโทษผู้ชายว่าทำให้ท้องใช่มั้ย อันนี้คือสังคมทุกประเทศทุกแบบ โดยเฉพาะคนไทยชอบ อี๋ไปทำผู้หญิงท้อง แต่ไหนเราบอกว่ามีสิทธิสตรี ไหนสิทธิเท่าเทียม ผู้หญิงชอบเรียกร้องความเท่าเทียมกัน แต่ทำไมเรื่องนี้ไปโทษผู้ชายคนเดียว ซึ่งเราคิดว่า ไหนเรียกร้องดีจังเลย แต่ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเอง”
Sex นอกสถานที่ เพิ่มรสชาติชีวิต!!
“ยอมรับว่ากลัวท้อง มองเรื่อง sex เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ปกติเลยที่สัตว์ทุกตัวต้องมีตัญหา กิเลส มดยังต้องสืบพันธุ์เลย แล้วนับภาษาอะไรกับมนุษย์ตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม”
อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือเรื่องความตรงไปตรงมา ของผู้หญิงอารมณ์ดีรายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง sex หรือการตั้งคำถามของชาวโซเชียลฯ ว่าฝังยาคุมเพราะกลัวท้อง ซึ่งเธอก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ด้วยท่าทางจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนสิทธิบุคคลว่าจะคิดยังไง แต่อย่างเราเชื่อเรื่องความรัก เราเชื่อเรื่องคู่เดียว เชื่อเรื่องถ้าเราเกิดมีความรักเข้าใจกัน และอยากจะอยู่ไปด้วยกันตลอดกับเขาทั้งชีวิต เราก็ไม่อยากจะไปมีคนอื่นเข้ามาในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่ส่วนตัวเราไม่โอเคกับเรื่องนี้
เราคิดว่าเป็นเรื่องที่แบบทำไมเราต้องเอาความคิด จิตใจของเรา ไปผูกกับคนอีกคนหนึ่ง จะบอกว่า one night stand เราจะไม่มีความรู้สึก ไม่มี ไม่จริง! มึงจูบกัน มึงมีความรู้สึกแล้ว ซึ่งส่วนตัวเรา เราไม่ชอบ แต่ว่าถ้าเกิดทำได้มั้ย เหงาทำได้ แต่คุณก็ต้องรู้จักการป้องกันตัวเอง และเป็นโรคอะไรเราจะต้องไม่แพร่โรคต่อ แค่นี้เองที่เป็นห่วง และกังวล”
แน่นอนว่าด้วยภาพลักษณ์แซ่บๆ ที่มักชอบใส่บิกินี ลงโซเชียลฯ ก็นำมาซึ่งคำถามแบบนี้ตามมา หนึ่งในนั้นคือ one night stand และ sex นอกสถานที่ สำหรับแนนซี่ ที่ศรัทธาในความรัก มองเรื่อง one night stand เป็นเรื่องส่วนบุคคล
“เรื่องนอกสถานที่ ตื่นเต้นดี เป็นเรื่องปกติใช่ปะล่ะ มันก็ได้ คือมันก็เป็นเรื่องปกติ นอกสถานที่ก็ตื่นเต้นดี เป็นอีกรสชาติของอารมณ์ (หัวเราะ)
ถ้าเกิดไม่ได้ open air กลางแจ้งมันก็ทำได้ ถ้าเราอยู่ในที่ลับ 2 คน บนเรือที่เป็นห้องนอนของเรา ก็ได้ ตื่นเต้นดี
มองเป็นการเพิ่มอรรถรส แต่ไม่ใช่คุณแบบไปทำในห้องคนพิการ ไม่เอา ไม่ได้ มันเป็นที่สาธารณะและส่วนรวม มันไม่โอเค ก็ต้องดูกาลเทศะ ไม่ใช่มีความต้องการ เก็บไว้ก่อน กลับบ้านก่อน"
“ทำไม ไม่เคย…กันเหรอ ที่เกิดมาได้ก็เพราะพ่อแม่…กันใช่มั้ย” เอ่ยขึ้น หลังยิงคำถามไปว่า ทำไมสังคมไทยยังมอง เรื่อง sex เป็นเรื่องต้องห้าม และทำเรื่องเพศให้ดูเป็นเรื่องที่ยาก ตั้งแต่ระบบการศึกษาที่ยังไม่เปิดกว้าง จนไปถึงสังคม
“มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตประจำวัน มันคือความปกติมากๆ ของสัตว์ทุกตัวบนโลกที่ต้องสืบพันธุ์ ตอนที่เราเรียนเรารู้สึกว่ามันก็ดีแล้ว คุณครูก็ได้สอน คุณครูที่เราได้เรียนหยิบถุงยางขึ้นมาแกะ เอาแตงกวาแล้วก็สอนเลย ซึ่งเราไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นเป็นยังไง แต่เราคิดว่าเป็นเรื่องปกติ
เราก็อยากย้อนกลับไปบอกเหมือนเดิมว่าสถาบันครอบครัวสำคัญที่สุดจริงๆ ถ้าเราคุยเรื่องนี้ เราต้องสอนลูกเรา สอนพี่สาวเรา สอนน้องสาวเรา หรือว่าสอนน้องชายเรา ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ เอาแค่พี่น้องก็ได้ คุยกันแบบเปิดอก”
ต้นแบบสาวมั่น “ใส่ บิกินี-โนบรา”
ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “แนนซี่ นัยน์ภัค” คือหญิงสาว ที่จุดประกายให้สาวๆ ลุกขึ้นมาใส่บิกินี่อย่างมั่นใจ มองลอยแตกในร่างกายเป็นเรื่องปกติ
“จริงๆ เป็นเรื่องปกติมากเลย ต้องอธิบายก่อนว่ามันคือชุดกีฬาชุดหนึ่ง เขาออกแบบมาให้ใส่ง่าย แห้งไว เล่นน้ำสะดวก ที่นี้เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราไปเจอกับตัวเลย เจอคนที่ใส่กางเกงยีนส์ลงน้ำ แล้วเราก็สึกว่าเหม็น ยีนส์เวลาโดนน้ำทะเล มันจะเหม็นเค็ม แบบปลาเค็ม แล้ว…เพื่ออะไร ถอดดิ่
คือถ้าเป็นเสื้อยืดธรรมดา โอเคอาจจะกลัวผิวเสีย แต่ยีนส์เราไม่เข้าใจ คือแบบหนัก ว่ายน้ำก็จม อันนี้เราก็อยากสร้างค่านิยมใหม่ว่ามันคือชุดกีฬา เขาออกแบบมาเพื่อให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น ใส่ไปกระโดดลงน้ำแค่ครึ่งชม.ชุดมันก็แห้งแล้ว”
โดยมักจะเห็นเธอสวมใส่บิกินีสีสันสดใส อวดลงโซเชียลฯ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเมื่อถามถึง feedback ต่างๆที่ออกมาแล้วนั้น ตอนแรกๆ ก็เคยโดนว่า ถึงขั้นเรียก “แผนที่โลก”
“ตอนแรกๆ ที่ใส่คนก็คอมเมนต์แบบอุ้ย!! แผนที่โลกปะเนี่ย ตอนแรกเราโกรธมาก แต่เราก็คิดในใจว่ามึงไม่มีเหรอวะ เอาจริงๆ ใครไม่มีลาย หรือถ้าเออโอเคมึงดูแลตัวเองดีมากเลย แต่ว่าใครๆก็มี แม้แต่กระทั่ง “เคนดัล เจนเนอร์” ยังมีเลย นั่นนางแบบวิกตอเรีย ซีเคร็ตนะ ฮัลโหล “จีจี้ ฮาดิด” ยังมีเลย เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติมากๆ
ในเรื่องที่คิดว่าหุ่นไม่ดี หุ่นไม่สวย เราคิดว่าให้มองข้ามตรงนั้นไปก่อน เพราะว่าจุดประสงค์คือชุดกีฬา ออกแบบมาเพื่อให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น
เรื่องหุ่นมันเป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องดูแลตัวเองยังไงมากกว่า ถ้าเราคิดว่าเราหุ่นไม่ดี หรือไม่ชอบหุ่นเรามีวิธีแก้ คือ1.กินอาหารดีๆ 2.ออกกำลังกาย ซึ่งมีวิธีแก้เยอะ แต่อยากให้มองข้ามไป
และอีกอย่างคือเรื่องตูดลาย มนุษย์ทุกคนเป็น เราก็เอาความจริงมาพูด คือมันเป็นความจริงหมดเลย เราก็เลยเขียนโพสต์ แล้วเหมือนมันไปกระแทกใจคน ซึ่งมันเหมือนเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่คิด แต่ไม่กล้าพูด แล้วเราก็ได้ร่ายออกมา”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ได้คุยกับเธอสักพัก สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากรูปร่างที่ดี คือความสุขใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเสมอ และมุมมองทัศนคติบวกๆ สำหรับเรื่องรูปร่าง เธอมองว่าชุดบิกินี ออกแบบมาให้สวมใส่ เพื่อให้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย เราควรมองข้ามเรื่องหุ่นดี หรือไม่ดีได้แล้ว นอกจากจะชอบการใส่บิกินี เธอยอมรับว่ามีรสนิยม และชอบโนบรา มอง(ชั้นใน)เป็นสิ่งไม่จำเป็น
“เราอยากให้มองว่าเป็นชุดออกกำลังกายชุดหนึ่ง เป็นชุดกีฬาชุดหนึ่ง ชุดที่ออกแบบมาทำให้ใส่ไปทะเล ไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรม outdoor ซึ่งถ้าเรามองถึงตรงนั้นให้มันถ่องแท้ เราว่าเขาก็กล้าใส่ และอีกอย่างหนึ่งเราไม่ได้ไปใส่เดินสยามพารากอน เราไม่ได้เข้าวัด เราก็ต้องดูว่าใส่ถูกที่ หรือว่าเหมาะสมกับกาลเทศะแล้ว
ส่วนเรื่องโนบรา เราคิดว่ามันเป็นความคิดส่วนบุคคลนะ คือเราเป็นคนที่ไม่ชอบใส่มาก เพราะว่ามันอึดอัด น่ารำคาญมากเลย
เราคิดว่าแบบผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกัน มันก็คืออวัยวะส่วนหนึ่ง และอีกอย่างถ้าคนไหนมีหน้าอกใหญ่ ก็อาจจะเลือกให้มันเป็นสปอร์ตบรา แผ่นแปะ หรือใดๆ ก็ได้ ถ้าไม่อยากใส่จริงๆ แต่เราคิดว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติอะไรเลย มันก็เป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง
เราไม่มีนม เรานมแบนมาก แต่คนอื่นเราไม่รู้ คนไหนที่ทำนมมารึเปล่าเราไม่รู้ อันนี้ก็ต้องปรึกษาคุณหมอ แต่ว่าเราคิดว่าถ้าเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว มันคือกล้ามเนื้อส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นนมคือไขมัน ถ้าคนที่ออกกำลังกายหนักๆ จะรู้ว่า ถ้าออกกำลังกายไปเรื่อยๆ นมจะหายไป เพราะมันจะกลายไปเป็นกล้ามเนื้อ ถ้าเรามีกล้ามเนื้อที่เพียงพอ มันก็ไม่ยานอยู่แล้ว”
ฝ่าคำบูลลี่ “อีหยิก อีหยอย อีฝอยขัดหม้อ อีดำ” แนนก็เป็นคนปกติธรรมดานี่แหละ แต่อาจจะเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ รักธรรมชาติ แล้วรู้สึกว่าอยากทำอะไรให้มันดีขึ้น ในทุกๆ เรื่องไม่ใช่แค่เรื่องธรรมชาติ คือถ้าเรามีความรู้เรื่องอะไรแล้ว เราก็อยากสานต่อความรู้ หรือส่งต่อความรู้นี้ไปให้กับคนที่รู้สึกว่าเราอยากให้ คนไหนที่อยากรับ เราก็ให้ไป อย่างถ้าเราจะเขียนโพสต์ในเพจ เราแนะนำเรื่องเที่ยวว่าสถานที่ท่องเที่ยวนี้ มันเป็นยังไง ดำน้ำ ที่ไหน อย่างไร แต่เราอาจจะแทรกในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงนักอนุรักษ์ หรือการลดการใช้พลาสติกเข้าไป ให้คนที่อ่าน อย่างน้อยมันได้ผ่านตาอะไรอย่างนี้มากกว่า สมัยประถม พ่อแม่พาไปเที่ยวตลอด และซน เป็นทอมด้วย (หัวเราะ) เมื่อก่อนโดนบูลลี่บ่อยปกติเลย โดนเรื่องผมหยิก เรียกอีหยิก อีหยอย อีฝอยขัดหม้อ อีดำ อีดำตับเป็ด อี๋ อะไรอย่างนี้ อย่าไปยุ่งกับมันนะ เดี๋ยวติดสีผิวดำ เดี๋ยวสกปรก หูยสกปรกจังเลย คนผิวดำสกปรกออกมาไกลๆ อะไรอย่างนี้ ตอนแรกแนนเสียใจ รู้สึกว่าแบบทำไมเราเป็นคนสีผิวแบบนี้ แล้วเราก็ร้องไห้ แต่เราก็เข้าใจตัวเองว่าทำกิจกรรมไง แต่คนที่เขาผิวขาวเขาอาจจะไม่ได้ทำกิจกรรมแบบเรา เขาไม่ได้เจอโลกแบบเรา มันมาฉุกคิดได้ตอนที่เราอยู่มัธยม ได้ออกมาเจอสังคมอีกสังคมหนี่ง |
โลกอีกใบที่ต้องช่วยรักษา!!
ถ้ามองย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นรู้จักผู้หญิงคนนี้ ที่ตอนนี้โด่งดังในนามของ “Happy Nancy” เต็มไปด้วย Lifestyle เพราะนอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ยังมีความเป็นตัวของตัวเองแบบสุดโต่ง
นอกจากมุมแซ่บๆ และทัศนคติตรงๆ ของเธอแล้ว เธอยังมีมุมที่ลึกซึ้งอย่างเรื่องการอนุรักษ์ เพราะว่าทุกวันเธอยังเป็นนักดำน้ำมืออาชีพ และทุกวันนี้เธอคล้ายจะเป็นทูตเรื่องการอนุรักษ์ ดูแลโลกใต้น้ำไปด้วย เพราะใครที่ไปเที่ยวกับเธอไม่ใช่เป็นการเที่ยวไปวันๆ แต่จะเป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
“คนรู้จักในเรื่องส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงไทยผิวแทนที่ใส่บิกินีแล้วไปเที่ยว ตอนนี้ก็มีฉายาประมาณว่า เจ้าแม่แห่งท้องทะเล
HappyNancy จริงๆ ไม่ได้ตั้งเอง พี่โต้ง Budda Bless เป็นคนตั้งให้ เพราะว่ารู้สึกว่าเราไปอยู่กับใคร อะไรก็ตาม เหมือนมันมีพลังบวกเสมอ ไปที่ไหน ไปกับใคร ไปแก๊งไหน ก็เหมือนเป็นตัวโจ๊ก เขาก็เลยเรียกว่า Happy Nancy
โดยเป็นทั้ง Lifestyle ท่องเที่ยว แต่จะเน้นกลุ่ม Super Driving ดำน้ำ มีวิธีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จริงๆมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่ว่าคนไทยอาจจะไม่คุ้นชินกับมัน เราก็อยากเอาตรงนี้มานำเสนอ”
ใครจะรู้ล่ะว่าชีวิตก่อนเธอเลือกเบนเข็มเส้นทางมาที่การเป็นบล็อกเกอร์สาวอย่างจริงจัง เธอเคยเป็นครูสอนการแสดงมาก่อน เธอเล่าว่าเพราะชีวิตไม่มีความสุข
“ทำไมถึงเปลี่ยน (นิ่งไปสักพักก่อนจะเผยคำตอบออกมา) มันถึงจุดที่เรารู้สึกว่าเราทำงานแล้วไม่มีความสุข งานนั้นมันทำให้เราไปเจอผู้คนมากมายก็จริง แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราไม่แฮปปี้กับตรงจุดนั้น
เรารู้สึกว่าเราอยากเจอตัวตนที่มันเป็นของเราจริงๆ เราอยากทำงานแล้วเรามีความสุขก็เลยไปดำน้ำ พอไปดำน้ำปุ๊บ เราก็รู้สึกว่า นี่คือใช่ แล้วมันก็ได้อยู่กับธรรมชาติ พอเราได้อยู่กับธรรมชาติก็เหมือนเราได้รับการรักษาด้วยธรรมชาติ ทำให้จิตใจเราดีขึ้น ฟื้นฟูทุกอย่างเลย รู้สึกว่าอันนี้น่าจะเป็นอาชีพอย่างหนึ่งได้อีกค่ะ”
7 ปีกับการได้พบความสุขในชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ชอบดำน้ำไปหลาย ๆ ที่ทั่วโลก ล่าสุดทำให้ เธอกลายเป็นผู้นำทัวร์ดำน้ำ พร้อม ด้วยการนำเสนอมุมมองการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
“เป็นเหตุการณ์ที่เจอตั้งแต่แบบเด็กๆ จริงๆ แล้วเป็นคนชอบพกกระติกน้ำมานาน ก่อนที่เขารณรงค์อีกคือเราไปเที่ยวทะเล เรารู้สึกว่าเราอยากเดินชายหาดแล้วเราไม่เจอขยะ แต่ไม่เคยเจอเลย เดินหาดไหนก็เจอขยะ แม้ว่าจะไปไกลมากอย่างมัลดีฟส์ หรืออะไรก็ตาม แม้กระทั่งออสเตรเลียที่เพิ่งไปมา ก็แบบเดินยังไงก็เจอขยะ ซึ่งเราก็หลีกเลี่ยงตรงนี้ไม่ได้
เราก็เลยอยากบอกต่อ ทำยังไงก็ได้ให้คนเข้าใจ และตระหนักถึงตรงนี้ว่า คุณแค่ถือแค่แก้วกาแฟพลาสติกแก้วเดียว คิดว่าแค่แก้วเดียว
แต่ว่าคิดดูดิวันหนึ่งกี่แก้ว อย่างน้อยมันทำให้คนอ่านผ่านตา ให้เห็นข้อความผ่านตา และฉุกขึ้นมาอย่างน้อยก็ยังดี อย่างน้อย 1 วัน คนแค่ 1 คนลดได้ เราก็ดีใจแล้ว”
เมื่อเข้าเรื่องธรรมชาติ สิ่งที่เธอรักแล้วนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเธอกลับมาอีกครั้ง พร้อมบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ อย่างแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่าสิ่งรักษาธรรมดีที่สุด คือการลดใช้พลาสติก
“ตอนนี้สิ่งที่เราสามารถทำได้จริง และง่ายสำหรับทุกคนคือลดการใช้พลาสติก มันยากที่จะบอกว่าเฮ้ย!! แกแยกขยะแบบนี้สิ ขยะรีไซเคิลจริงๆ ที่เราเข้าใจกัน บางพลาสติกมันรีไซเคิลไม่ได้ เราก็ไม่รู้ขนาดนั้นใช่มั้ย แต่การที่เราทำได้จริง คือลดการใช้มัน ง่ายๆ คือพกกระติกน้ำ หรือพกกล่องทัปเปอร์แวร์ หรืออาจจะหลีกเลี่ยงการใส่ถุงแกงไปได้ ก็แค่พกกล่องทัปเปอร์แวร์ไป มันก็ได้
อยากจะบอกว่าก๋วยเตี๋ยวถุงหนึ่งก็ไม่ยาก ถ้าอยากกินน้ำพกกล่องทัปเปอร์แวร์ 2 อัน มันก็มีดีไซน์หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นกล่องใส่ซุปอะไรอย่างนี้ ซึ่งอยู่ที่เราว่ากล้าจะเปลี่ยนรึเปล่า กล้าจะปรับตัวเอง กล้าจะขี้เกียจล้างรึเปล่า จริงๆมันมีข้ออ้างหลายอย่าง
แต่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของเราก็คือ เอาไปเท่าไหร่ เก็บมาเท่านั้นหรือมากกว่า เอาไปเท่าไหร่หมายความว่าเราไปทริปสิมิลัน เราอยากกินขนมกรุบกรอบ หรือเราเตรียมขวดน้ำอะไรไป เอาไปเท่าไหร่กลับมาเท่านั้น เราไมได้ blame (ตำหนิ) ว่า เฮ้ย!! อย่าเข้าร้านสะดวกซื้อ
สมมติไปซื้อขวดน้ำพลาสติก เราไม่ได้ว่า แต่ถ้าคุณไปเที่ยวเกาะ ก็แค่เอาไปเท่าไหร่ ก็เอากลับมาเท่านั้น แล้วเอามาทิ้งฝั่งพื้นดิน ไม่ใช่ทิ้งเรี่ยราด ทิ้งไม่ถูกที่ อันนี้ก็ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แล้ว
และคำว่าเอากลับมามากกว่า ก็หมายความว่า ระหว่างเดินทางไปเราเจอเศษขยะ หรืออะไรที่เราพอเก็บไหวมั้ย ไม่ได้แบบว่าให้ถือถุงดำแล้วให้นั่งเก็บขยะ ไม่ใช่ มันก็ไปเที่ยว เราไปเที่ยว เราก็อยากมีความสุข
เราแค่เห็นบางอย่างที่แบบเราพอที่จะทำไหว แค่หยิบมันขึ้นมา อันนี้ก็ได้แล้ว หรือว่าอย่างที่เราเพิ่งจัดทริป เรามีการทำกับข้าวกันแล้วก็ใส่กล่อง เพื่อที่จะเอาไปเที่ยวเอาไปกินกัน แล้วก็เอากลับมา เท่านี้ zero waste ได้แล้ว มันไม่ได้ยาก”
หนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เธอฉุกคิด และจริงจังกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เธอเล่าย้อนให้ฟังว่าได้เห็นเต่าร้องไห้ เพราะมีพลาสติกติดอยู่โพรงจมูก
“เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจมาก เราไม่เคยได้ยินเสียงเต่าร้อง แต่เราได้ยิน ร้องแบบเจ็บปวดและเลือดไหล เรารู้สึกว่ามันเกินไป
เราคิดว่าเรามีฐานแฟนคลับในเฟซบุ๊กตั้ง 2 แสนกว่าคน และในอินสตาแกรมอีก อย่างน้อยใน 2 แสนคน มันต้องอ่านผ่านตาบ้างแหละ อย่างน้อยเขาต้องไปร้านข้าวแก เขาต้องแบบพี่คะไม่เอาหลอดค่ะ อย่างน้อยลดได้ 3-4 หลอด ใน 1 วันก็ยังดี
ความคิดเรานะ หลอดมันไม่มีความจำเป็น ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็พกหลอดสเตนเลสก็ได้ ซึ่งบอกว่าเปลื้อนลิปสติก เดี๋ยวลิปสติกเลอะแก้ว ก็ล้างแก้วก็ได้ ลิปสติกหนึ่งแท่งไม่มีผู้หญิงคนไทยทาหมดถูกมั้ย หายก่อน หรือไม่ก็อยากได้สีใหม่แล้ว ซึ่งเราคิดว่ามันสามารถปรับพฤติกรรมได้”
สวรรค์ใต้น้ำ คือที่สุด!!
เพียงแค่อยากสร้างแรงบันดาลใจให้คนไปเที่ยว แต่ไม่คิดว่าหลังตัดสินใจออกจากท่องโลก ทำให้ค้นพบว่าการเที่ยวสามารถสร้างรายได้ให้กับเธอได้
“ตอนนี้ การเที่ยวทำให้ได้เงิน คือหามาได้เท่าไหร่ ก็หมดเท่านั้น ต่อทริปคือมันเฉลี่ยไม่ได้ค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าเราไปที่ไหน จังหวัดอะไร ประเทศไหนอะไร แล้วมันต้องใช้อะไรบ้าง
อย่างที่บอกว่าเป็นครูสอนการแสดงแล้วมันไม่มีความสุข ก็เลยอยากหากิจกรรมที่เรารู้สึกว่าเรายังไม่เข้าใจมัน และเราอยากเข้าใจมัน ก็คือกิจกรรมดำน้ำ
ได้ออกไปทำกิจกรรมดำน้ำ ไปออกทริป 1 ทริป แล้วรู้สึกมันดีมากเลย มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง เห็นเสน่ห์เห็นการดำมานานแล้ว เพราะเป็นคนที่ชอบเที่ยวทะเล แต่ด้วยเวลา ตอนนั้นเรียนหนังสือ แล้วมันยังไม่มีเวลา
คือออกทริป ครั้งหนึ่ง 1 อาทิตย์ แล้วเราก็รู้สึกว่าช่วงนั้นที่เราลาออก เรามีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง แล้วเราก็มีเวลา เราก็เลยลองไปทำดู แล้วมันก็เป็นช่องทางให้เรารู้สึกว่ามันก็หาเงินได้นี่หว่า มันก็เป็นอาชีพได้
ทำงานเทลงทะเลค่ะ (หัวเราะ) ยอมรับดำน้ำเป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ว่าถ้าเปรียบเทียบนะ เราเปรียบเทียบง่ายๆ คือถ้าเป็นคนส่วนใหญ่จะชอบช็อบปิ้ง ถ้าเป็นผู้หญิงจะชอบซื้อเครื่องสำอาง หรือว่าซื้อของแบรนด์เนม
เราคิดว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่น 1 ครั้ง ออกทริปดำน้ำได้ 2 รอบเลย อันนี้เปรียบเทียบให้คนทั่วไปที่ยังไม่เข้าใจกิจกรรมนี้นะ
อย่างไปญี่ปุ่น 1 ทริป ค่าใช้จ่ายก็ประมาณ 20,000-30,000 บาท ดำน้ำได้ 2 ทริปเลย การดำน้ำคือเอาง่ายๆ ห้องนอนคือซีวิว ถ้าเกิดเราไปโรงแรมที่ภูเก็ต ซีวิวคืนหนึ่ง 5,000-6,000 บาท แต่อันนี้คือซีวิว และสามารถ กระโดดลงน้ำเจอปลา
คือไปอยู่บนเรือยอร์ช มีอาหารครบแล้ว เราว่ามันก็ไม่แพง แต่ว่าคนอาจจะเข้าใจว่าออกทริปหนึ่ง สองหมื่นห้า สามหมื่น แพงจัง แต่ว่าคุณรู้เปล่าว่าคุณจะได้รับอะไรบ้าง”
จากการเริ่มออกทริปกลับมา ทำให้แนนซี่เริ่มสนใจการดำน้ำ จนหาข้อมูลว่าหากจะลงไปลึก เพื่อไปดูความสวยงามที่อื่นๆ ที่เธอไม่เคยเห็น จึงตัดสินใจเรียนดำน้ำอย่างจริงจัง จนปีที่แล้วเธอเรียนจบการเป็น Drive master สามารถนำทัวร์ได้ และติดใจยาวมาจนถึงทุกวันนี้
“การดำน้ำ ให้ความสุข ให้ความอิสระ ให้ความคิดโดยที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ใน 1drive เราใช้เวลาดำประมาณ 40 นาที
เราอยู่คนเดียว เราพูดไม่ได้ เราได้อยู่กับธรรมชาติรอบกาย เราได้คิด เราได้ทบทวนว่าเราควรทำอะไรต่อไปในชีวิตวะ อันนี้สำหรับแนนซี่คนเดียวนะ ชอบคุยกับตัวเองเวลาดำน้ำว่าตอนนี้ชีวิตดีหรือยัง เราควรทำอะไรต่อ พ่อแม่อยู่สบายหรือยังวะ เฮ้ย!!ครอบครัวเป็นยังไง และคนอื่นควรยังไงต่อ
เราควรทำงานอะไรบ้าง ซึ่งมันให้เราได้อยู่กับตัวเอง ให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น และให้เจอสังคมใหม่ๆ สังคมที่น่ารัก เพื่อนใหม่ที่น่ารักมาก
เราประทับใจเกือบทุกที่ ทุก drive แหละ แค่เราเป็นคนที่ชอบแมนตา (ปลากระเบน)มาก ที่ไหนที่มีแมนตา
หรือ drive ไหนที่เราได้เจอแมนตา เราจะรู้สึกฟิน ซึ่งถ้าเป็นที่ที่เราชอบที่สุด ในประเทศ คือเกาะสมิลัน อันดามันเหนือ ซึ่งเวลาไปจะได้เห็น Landscape ที่สวยงาม เห็นน้ำทะเลสีใสๆ ฟ้าๆ และคนที่ไปด้วยเป็นบุคคลที่น่ารัก
ทุกคนที่รักธรรมชาติจะจิตใจดี เรารู้สึกว่าเราอยู่ด้วย เราแฮปปี้ เราไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าเป็นต่างประเทศเราจะชอบเกาะโกโมโดมาก โกโมโดอยู่ที่อินโดนิเซีย คือมันมีแมนตาเยอะมากจริงๆ และทุกอย่างมันสดใหม่ แล้วก็สวย มันยังเป็นพื้นที่ที่ดิบมาก ดิบจนแบบเฮ้ย!! มันสามารถมีคนไปอยู่ได้มั้ย ว่าง่ายๆ มันคืออุทยาน ได้เจอทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำที่สวยงาม”
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าแนนซี่ จะเป็นที่รู้จักในฐานะบล็อกเกอร์ด้านการท่องเที่ยวใต้น้ำอย่างในปัจจุบัน เธอต้องผ่านการฝึกการเตรียมตัว และสอบมาแล้ว ซึ่งเธอบอกไว้ว่า การดำน้ำดูเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน แต่ถ้ามีเวลา สามารถจบการสอบดำน้ำระดับเลเวลสูงๆ ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี
“สำหรับเราการเตรียมตัวสำหรับไปดำน้ำ เราคิดว่า ร่างกายจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ ต้องดูแลตัวเอง คือมันก็คือกีฬาชนิดหนึ่ง ถ้าเราจะเล่นกีฬา เราจะต้องร่างกายแข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และถ้ารักจะดำน้ำห้ามเป็นหวัด ห้ามมีน้ำมูก เพราะว่าเราจะเคลียร์หูไม่ได้ และควรศึกษาข้อมูลว่าเราจะไปที่ drive ไหน น้ำเย็นมั้ย ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง เมาเรือมั้ย
ถ้าจะดำน้ำลึกจะต้องผ่านการเรียนก่อน แล้วเมื่อสอบผ่านแล้ว ถึงจะออกทริปได้ ซึ่งการเรียนดำน้ำ จริงๆคนจะคิดว่าเฮ้ย!! ยากจัง แต่จริงๆ ใช้เวลาแค่ 4 วันเอง คือทฤษฎี แล้วลงสระ และออกสอบ ซึ่งมันแปปเดียวเอง สมมติสอบเสร็จ มันคือตลอดชีวิต ไม่ต้องไปเรียนตลอด”
จริงอยู่โลกใต้น้ำเปรียบเสมือนสวรรค์ และความสุขของนักท่องเที่ยวอย่างแนนซี่ แต่ก็มีอีกหลายคนกลัวการดำน้ำลงไป ”กลัวอะไร”เธอเอ่ยขึ้น เพราะโลกท้องทะเลไม่มีสิ่งไหนน่ากลัว พร้อมทั้งอธิบายโลกใต้น้ำ และสิ่งที่คนเข้าใจผิด
“ถ้ากลัวฉลาม บอกได้เลยว่าให้ตัดออกไป ควรจะกลัวตัวอื่นมากกว่า อย่างเช่น โลมา หรือว่าปลาวัว ไอ้พวกนี้น่ากลัวกว่า
คือดูในทีวีโลมาน่ารัก มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีอารมณ์ทางเพศ ถ้าผู้หญิงเป็นประจำเดือน โลมาสามารถสัมผัสได้ และได้กลิ่น มันก็จะเข้ามา
คือพฤติกรรมโลมาคล้ายๆ กับหมา มันจะรุมโทรม ซึ่งถ้าเกิดโดนสภาพแบบนั้นน่ากลัวมาก เราอาจถึงตายได้ เพราะว่ามันจะเอาหางมาสะบัด หมายถึงถึงโลมาป่า ที่ไม่ใช่โลมาเลี้ยง”
ส่วนในเรื่องการเป็นประจำเดือน ลงน้ำทะเลไม่ได้ ทว่าจะทำให้สิ่งสกปรกเข้าไป และอาจจะเป็นอันตรายได้ เป็นเพียงการอุปมาขึ้นมาเองทั้งนั้น
“ไม่มีอะไรสกปรกค่ะ บนเบาะจิตใจคนสกปรกกว่า เฮ้ย!!ดราม่าทำไม (หัวเราะ) ยืนยันว่าลงได้ เวลาเราลงไป ประจำเดือนมันจะไม่ไหล แต่ปลาจะมีเซนต์ได้ว่าคนนี้มี แต่ว่าทุกที่ไม่ได้มีโลมา โลมาหายาก”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย จะเห็นได้ว่าเธอได้ตอบประเด็นต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และได้เห็นการเปิดเผยที่สะท้อนมุมมองในชีวิต ว่าเธอมีความสุขกับการเป็นตัวเอง รักการดำน้ำแค่ไหน รวมถึงการจัดการปัญหาเรื่องลับๆ รับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างไร โดยที่เธอยังคงเป็นตัวของเธอเอง
รักษ์โลก งดพลาสติก!! อย่างปีนี้ก็เป็นปีที่เริ่มรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกจริงจัง แนนก็รู้สึกดีนะ แต่มันก็มีอีกหลากหลายสิ่งอย่างห้างฯก็เริ่มแจกถุงผ้าสปันบอนด์ซึ่งเรารู้สึกว่ามันแบบ (หยุด มองบน) จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ลึกมาก คือคนที่ประดิษฐ์ถุงพลาสติกมา เขาต้องการให้มันเป็นวัสดุที่ถูก ทน ถึก และก็รียูส แต่โซนในประเทศที่ยังพัฒนาอยู่ และด้อยพัฒนา ในประเทศเหล่านั้นก็ใช้ในทางที่ผิดก็ไม่ใช่ เพราะต้นทุนมันต่ำจริง ไม่ว่าจะเป็นกล่องโฟม หรือกล่องพลาสติกต้นทุนมันต่ำมาก แม่ค้าต่างๆก็เอาไปใช้ เราไม่ได้ว่าตรงนี้ แต่เราอยากให้ผู้บริโภครับผิดชอบส่วนนี้ อาจจะใช้แล้วทิ้งให้ถูกที่ หรือว่าเอามาใช้ใหม่ ถุงที่เขาแจก ถุงพลาสติก ถุงหูหิ้วอ่ะค่ะ จริงๆ ไม่ได้ใช้แค่ครั้งเดียวแล้วทิ้ง จริงๆ มันสามารถพับเป็น 3 เหลี่ยมเล็กๆ แล้วใส่ ไว้ในกระเป๋า แล้วเวลาเราไปซุปเปอร์มาเก็ต เราก็สามารถใช้มันได้อีกหลายๆ รอบ ซึ่งคนอาจจะมองข้ามตรงนี้ไป เฮ้ยไปหาซื้อถุงผ้าเยอะๆ ซึ่งจริงๆ ถุงผ้าทำลายทรัพยากรมากเหมือนกัน มันก็มีหลากหลายความคิด |
สัมภาษณ์โดย ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว : พิมพรรณ มีชัยศรี
ขอบคุณภาพ : fb “HappyNancy”
ขอบคุณสถานที่ :Kaizen Coffee
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **