xs
xsm
sm
md
lg

ขาดเสาหลัก-ลูกกำพร้า เพราะ "รถเมล์ไทย!!" สลด 6 เดือน ไร้การเยียวยา-คืบหน้าคดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่อยากให้ตายฟรี!! เปิดใจภรรยาสาว ขอความยุติธรรมใหัแก่สามี ผ่านมา 6 เดือน คดีไม่คืบ ต้องสู้เพียงลำพัง เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้ลูก อดทนแม้ไม่มีความหวัง

ขอความยุติธรรม 6 เดือน คดีไม่คืบ

“เรามีเรื่องอยากให้ทุกคนที่เห็นโพสต์นี้ช่วยแชร์ไปให้ถึงสื่อหน่อยค่ะ คือวันที่ 17/07/62 แฟนเราโดนรถชนเสียชีวิตคาที่ มีรถเมล์กับมอเตอร์ไซค์เป็นคู่กรณี แต่ตอนนี้ผ่านมา 6 เดือนแล้วคดียังไม่คืบหน้าเลยค่ะ ตำรวจนัดแล้วนัดอีกแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย หาคู่กรณีมารับผิดชอบไม่ได้เลย”
ต่าย-สิดาพร ชื่นคล้าย ภรรยา น๊อต-ทรงพล โตมั่นคง ผู้เสียชีวิต ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่สามีผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า “สิดาพร ชื่นคล้าย” โดยโพสต์ระบายเล่าความในใจตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง พร้อมกับไม่อยากให้สามีต้องตายฟรี

 

“แล้วล่าสุดไปพูดเหมือนให้แฟนเราผิด เรามีลูกที่ต้องดูแล เสียแฟนเราไปเราต้องทำทุกอย่าง ลูกเราก็โตขึ้นทุกๆ วัน เราต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก่ลูกเรา ก็ยังไม่รู้คดีมันจะเป็นยังไงจะจบแบบไหน เราแค่อยากหาความยุติธรรมให้แก่แฟนและลูก เราไม่อยากให้เขาต้องมาตายฟรี แค่นี้ชีวิตเราก็แย่พออยู่แล้ว
เราเลยอยากให้ทุกคนช่วยแชร์ไปถึงสื่อหน่อยค่ะเราไม่รู้จะทำยังไงแล้วเราสงสารลูก เงินก็ไม่มีจะไปจ้างทนาย เราไม่ได้โทษตำรวจว่าทำงานไม่ดี แต่จะ 6 เดือนแล้วคดีไม่คืบหน้าผลัดไปหลายรอบแล้ว ใครทำอะไรรู้อยู่แก่ใจ เราจะปล่อยให้เวรกรรมทำหน้าที่ของมันเอง วันนี้เราเลยมาขอให้ทุกคนช่วยแชร์ไปให้ถึงสื่อหน่อยค่ะขอความยุติธรรมให้แก่แฟนเราและลูกเราด้วยค่ะ”
ไม่รอช้า ทีมข่าว MGR Live จึงได้ต่อสายตรงไปที่คุณต่าย เธอได้เล่าว่า อยากให้ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา และอยากขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกที่ต้องขาดพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย

 

“ทางตำรวจเขาก็พูดเหมือนจะให้คนตายผิด เขาก็บอกว่ารถทางเรามาผิดนะ แต่เราก็ลงสะพานมา เราไม่ได้มาผิดเลน เราก็ลงสะพานมาจะเลี้ยวเข้าซอย ซอยมันอยู่ซ้ายมือ แล้วรถเมล์เขาขับตามหลังมา แล้วก็มีคู่กรณีอีกคันหนึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์ เขาก็ขับลงสะพานมาจะเลี้ยวเข้าซอย แต่ว่าเราก็ทำถูกทุกอย่างไม่ได้ไปผิดเลน
วันนั้นหลังจากขับรถไปรับหนูที่บ้าน แต่ไม่เจอหนูสวนกัน เพราะว่าหนูกลับเอง ก็เลยไม่ได้กลับด้วยกัน ปกติก็จะกลับด้วยกัน เพราะวันนั้นหนูไปบ้านแม่ แต่หนูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ค่ะ ต้องให้ลุงอีกคนหนึ่งเล่าค่ะ ลุงเขาเล่ารู้เรื่องกว่าค่ะ เพราะหนูมาก็เห็นศพแล้วค่ะ”
ด้าน ลุงเจริญ หลิมพิชัย เป็นญาติคนแรกที่ไปพบศพผู้เสียชีวิต หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ช่วยเล่าย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อ 6 เดือนที่แล้วให้ฟังว่า ผู้ตายขับมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟ125 สีน้ำเงิน ถูกรถเมล์สาย 203 ที่วิ่งระหว่างท่าน้ำนนท์-สนามหลวง ทับเสียชีวิต มีคู่กรณีเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกคัน โดยเหตุเกิดบริเวณทางเข้าบ้าน ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 96
“วันที่ 17 ก.ค. มันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แล้วก็มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน ส่วนคู่กรณีมีรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน รถเมล์ 1 คัน ตอนที่เกิดเหตุเขาก็โทร.มาบอกว่ามีคนเสียชีวิต เป็นคนแถวซอย ผมก็ออกมาดู มาดูเสร็จผมเห็นมอเตอร์ไซค์ 2 คันจอดอยู่ริมฟุตปาธ แล้วก็รถเมล์คันหนึ่งจอดอยู่ริมฟุตปาธ แต่คนตายอยู่กลางถนน คนเจ็บอีก 2 คนอยู่ข้างฟุตปาธ
พอตำรวจมาเขาก็ไกล่เกลี่ย พาคนเจ็บไปโรงพยาบาล หมอก็มาชันสูตรศพแล้วก็นำศพไปโรงพยาบาล น๊อตเขาขับมอเตอร์ไซค์มาคนเดียว ลงจากพระราม 7 แล้วมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งเขาซ้อน 2 มา ผู้หญิงขับและซ้อนกันมา มาเกิดอุบัติเหตุยังไงก็ไม่ทราบ
แต่มอไซค์คู่กรณี 2 คนที่บาดเจ็บไม่ได้มาทางตรงนะ มันมีทางคู่ขนานกันออกมา ตอนนั้นก็เสียชีวิตคาที่เลย เสียชีวิตก็คือว่ารถเมล์ทับคาที่เลยครับ ตอนที่ผมไปดูเหตุการณ์ก็คือว่าเขานอนตายกลางถนน แต่รถเมล์จอดข้างฟุตปาธ เขาเลื่อนรถเข้ามากันหมดแล้วไง

 
[ภาพอุบัติเหตุเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว]

ส่วนทางตำรวจเขาไม่บอกว่าใครผิด ใครถูก เขาก็ไปโรงพักแล้วเขาก็นัดคู่กรณี นัดมาส่วนมากก็เป็นมอเตอร์ไซค์ 2 คัน ก็คือญาติผู้เสียชีวิต แล้วก็มอเตอร์ไซค์คันเขียวคู่กรณี ก็จะไปที่โรงพักกันตลอด ผมก็ไปที่โรงพักด้วย ก็ไปคุยกันเคลียร์กันจะให้จบความที่โรงพักก็คุยกันไม่ได้ เขาก็นัดอีกมาคุยกันอีก ผมก็บอกว่าถ้านัดแล้ว ทำไมไม่เรียกรถเมล์มาคุย ตำรวจเขาก็บอกว่าทางรถเมล์เขาไม่ผิด เขาก็พูดอย่างนี้ แล้วเขาก็ไม่เคยเรียกมา
แล้วตลอดระยะเวลา 6 เดือน เขาเรียกรถเมล์มาคุย 2 ครั้งเอง มาคุยด้วยกัน 3 คน แค่ 2 ครั้งเอง ที่มาคุยกับรถเมล์ทั้ง 3 ฝ่าย ก็เมื่อวันเสาร์ 18 ม.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ก็มาคุยจะไกล่เกลี่ยกัน เขาก็เรียกเข้าไปคุยทีละคน ส่วนทางนั้นจะคุยยังไงกันผมก็ไม่ทราบครับ ในส่วนของทางเราผมก็เป็นคนเข้าไปคุย และเมื่อวานก็ไปตอนเช้า เขาก็บอกว่ายังไม่สรุปว่าใครผิด ใครถูก”

ลูกร้องหาพ่อ แม่ต้องอดทนสู้เพียงลำพัง

“ก็อยากขอความยุติธรรมให้แก่แฟนหนู กับลูกหนู เพราะว่าคนตายไปแล้วพูดไม่ได้ หนูแค่อยากพาคนผิดมารับโทษ จะได้เงินไม่ได้หนูก็ไม่ได้สนใจ เราก็ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ที่เขาเสียไป ไม่อยากให้เขาตายฟรี”
ภรรยาผู้ตายยังระบายความอัดอั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออีกว่า ผ่านมานาน 6 เดือน จนศพสามีเผาไปแล้ว คดีก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าแม้แต่น้อย ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนยังมีท่าทีว่าจะชี้ชัดให้คนตายเป็นคนผิดอีกด้วย
“ทางตำรวจเขาก็ยังไม่ได้นัดอะไรเลยค่ะ ที่ทางตำรวจนัดไปเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเรา เขาก็แค่ให้ไปเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าตอนนั้นเราอยู่ไหน ตั้งแต่แฟนเราเสียเขาก็เพิ่งเรียกไปคุย ตั้งแต่ 6 เดือนเขาก็ไม่เคยเรียกเลย คือไม่เคยเรียกไปสอบสวนเลย พอเขาบอกว่าจะเรียกหนูมาสอบสวนเขาก็ไม่เรียก เพิ่งเรียกเมื่อวานตอนเย็นที่ผ่านมานี้เอง ที่เรียกเข้าไปสอบสวน ที่ผ่านมาก็เข้าไปเองบ้างโดยที่ทางตำรวจไม่ได้เรียกให้ไปเลย
พอเขานัดไปก็คือคุยไม่ได้เรื่อง นัดแล้วนัดอีก นัดไปก็กลับ นัดไปก็กลับ เขาไม่ได้บอกว่ายังไงเลย มีแต่ทางฝั่งเราไปอย่างเดียว ก็เคยเจอคู่กรณี รถเมล์เขาน่าจะมา 2 ครั้งได้ ทั้ง 2 ฝ่ายคู่กรณีเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเราเลย ทางตำรวจก็ยังไม่ได้ยืนยันว่าทางไหนผิด เขายังทำคดีไม่เสร็จ
เราก็หาหลักฐานยาก ก็เสียใจเห็นแฟนหนูสมองไหล เละ เพราะว่าโดนรถเมล์ทับ ส่วนรถเมล์เขาก็มาร่วมงานศพวันแรกเขาก็ให้มา 10,000 บาท กับพวงหรีดพวงหนึ่งแล้วเขาก็หายไปเลย เขาก็ไม่ได้บอกว่าขอโทษหรือพูดอะไรกับเราเลย ส่วนคู่กรณีที่เป็นมอเตอร์ไซค์อีกคันก็มาร่วมงาน และก็ไม่ได้ให้เงินเยียวยาหรืออะไรเรา”
ขณะเดียวกัน ผู้ตายและภรรยานั้นใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยามาด้วยกันถึง 3 ปีแล้ว และยังมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน ที่ชื่อว่า “น้องต้นน้ำ” อายุเพียง 1 ขวบ 10 เดือน หลังจากที่พ่อเสียชีวิต แม่ต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักให้แก่ครอบครัว ต้องเลี้ยงลูกสาวคนเดียวเพียงลำพัง

 
ลูกสาว “น้องต้นน้ำ” วัย 1 ขวบ 10 เดือน

“6 เดือนที่เขาจากไปก็คิดถึงตลอด (เสียงสั่น) แต่ว่าเราก็มีลูกที่ต้องดูแล เราต้องอดทน เพราะว่าถ้าเราไม่อดทนใครจะดูแลลูกเรา เพราะว่าตอนนี้หนูก็ทำงานอยู่คนเดียว ลูกก็จะเข้าโรงเรียนปีหน้าแล้ว ตอนนี้ก็ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ก็ทำอาชีพแม่บ้าน อยู่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.
เขาก็ถามหาพ่อค่ะ บางทีเขาก็ถามหาบ้างตอนแรกๆ แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยถามแล้ว จำหน้าไม่ได้แล้ว ก็ไม่ได้บอกลุกตรงๆ ว่าพ่อเสียชีวิตไปแล้ว แต่บอกแค่ว่าพ่ออยู่บนสวรรค์ พอเราถามว่าพ่ออยู่ไหนเขาก็ไปแล้วบอกอยู่บนสวรรค์
มีบางครั้งที่เขาร้องไห้ แล้วก็บอกว่า “หาน๊อตๆ” จากนี้ไปเราก็ต้องเข้มแข็ง หนูเข้มแข็งมาได้ 6 เดือนแล้ว ต่อไปหนูก็ต้องเข้มแข็งให้ได้”




ขอบคุณภาพ : สยามรัฐ และเฟซบุ๊ก สิดาพร ชื่นคล้าย




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น