จงต่อต้านไม่ใช่เข้าร่วม! โซเชียลฯระอุ “พีท คนเลือดบวก” ผุดความคิด “แพร่เชื้อ - ไม่ใส่ถุง” เพียงแค่กินยา PrEP หมอดึงสติ แม้ไม่ติด HIV แต่โรคอื่นเสี่ยงตามมาอีกเพียบ ทั้งซิฟิลิส หนองใน กามโรค แนะมีเซ็กส์ต้องป้องกัน “ไม่งั้นเขาจะมีถุงยางอนามัยไว้ทำไม”
กิน PrEP พร่ำเพรื่อ เสี่ยงดื้อยา ติดกามโรค!!
“ถ้าจุดยืนเขาบอกว่ากิน ยาเพร็บ : PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) แล้วไปมีอะไรกันโดยที่ไม่ใส่ถุงยาง ถามว่าติดเชื้อมั้ย คำตอบคือยังไงก็ติดครับ ถึงแม้ว่ามันจะป้องกันได้ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยร้อยละ 10 ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ รู้สึกว่าเขาจะแก้ข่าวแล้วนะ ประมาณว่าเตือนให้คนใช้ยาอย่างถูกวิธี ผมก็ฟังแล้วตลกๆ
ถึงยา PrEP มันป้องกันเชื้อไวรัสได้ แต่ว่ามันก็ไม่ป้องกันเชื้อซิฟิลิส หรือหนองใน หรือกามโรคอื่นๆ แล้วคนที่จะรับประทานยาตัวนี้ ก็จะต้องเป็นคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน กินเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเชื้อบวกแล้ว กินตัวนี้ไม่มีประโยชน์นะครับ”
นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล หรือ หมอกอล์ฟ
นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล หรือ หมอกอล์ฟ แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรมและเจ้าของเพจ “คุณหมอสตอรี่” ให้ความเห็นแก่ทีมข่าว MGR Live หลัง “พีท - ฐิฏิวัสส์ ศิรเศรษฐกร” จากเพจ “พีทคนเลือดบวก Pete Living With HIV” ได้นำเสนอแนวคิด ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัยได้
เพียงแค่กินยา PrEP และคนที่กินยา สามารถมีเพศสัมพันธ์กับคนที่กินยาด้วยกันได้โดยไม่สวมถุงยาง จนทำให้โลกออนไลน์เกิดกระแสดรามาและตีกลับมายังเจ้าของแนวคิดอย่างหนัก
“ที่เขาบอกว่ากินยาตัวนี้แล้วไปมีอะไรกับคนที่มีเชื้อแบบไม่ป้องกัน มันจะไม่สามารถส่งต่อ HIV อันนี้คือไม่จริงเลย มันอาจจะกันได้อย่างมาก 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าสมมติว่าเรากินไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปมีอย่างนี้เรื่อยๆ จนเราดื้อยา สุดท้ายเราก็แย่ และที่สำคัญที่เราจะยอมเสี่ยงอีก 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเหรอครับ แล้วที่บอกกันได้ 90 เปอร์เซ็นต์ก็จริง แต่ถ้าเราไปติดซิฟิลิส หนองใน กามโรค สุดท้ายมันก็นำมาซึ่งเอดส์เหมือนกัน
ความคิดนี้อันตรายมากเพราะทำให้เราประมาท เขาให้กินเพื่อป้องกันแต่เรากลับทำตัวเองเพื่อไปเสี่ยง ทุกคนพยายามหาทางป้องกัน แต่เขากลับทำตัวเองไปเกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยไม่รู้จะผลประโยชน์อะไรก็ตาม จะเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อบวกอะไรยังไง เยอะแยะขนาดไหน แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่ควรทำแบบนี้ครับ
คนที่ควรกินยา PrEP ต้องเป็นกลุ่มคนที่รู้ตัวว่าจะต้องความเสี่ยงจริงๆ เพราะว่าต้องกินก่อนอย่างน้อย 7 วัน แล้วถึงไปทำสิ่งที่เกิดความเสี่ยงขึ้น พอทำเสร็จปุ๊บก็ต้องกินต่อเนื่องอีก 4 สัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น จะไปยุ่งกับคู่นอนอื่น หรือจะไปมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หรือจะไปใช้เข็ม ถ้าเรารู้ว่าเราจะมีความเสี่ยงตรงนั้นอยู่แล้ว การกินยาตัวนี้ต้องกินโดยปรึกษาแพทย์ด้วยครับ
สำหรับยาที่ถูกกล่าวถึงอยู่นั้น มักจะถูกเข้าใจวิธีใช้อย่างผิดๆ เจ้าของเพจคุณหมอสตอรี่ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า มียา 2 ตัวที่ชื่อใกล้เคียงกัน แต่วิธีใช้แตกต่างกัน
“ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือกินเพื่อป้องกันก่อนที่จะเกิดความเสี่ยงขึ้น กินต่อเนื่องก่อนประมาณ 7 วัน พอเสร็จต้องกินต่ออีกเดือนนึง ยกตัวอย่าง กรณีของคนที่มีคู่นอนเยอะ หรือร่วมเพศทางทวารหนัก หรือคนใช้ยาเสพติด ฉีดยา
แต่อีกประเภทนึงคือ PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ไม่มีตัว r จะกินในกรณีที่ไปเผลอติดเชื้อ เช่น ถุงยางแตก ถูกข่มขืน หมอ พยาบาลโดนเข็มตำ เป็นยาป้องกันเชื้อ HIV ฉุกเฉิน ต้องกินภายใน 72 ชั่วโมง
ในกรณีของคุณพีทเขาพูดถึง PrEP ต้องคนที่ยังไม่ติด HIV มาก่อนมันถึงจะได้ผลครับ แต่ก็ไม่ควรกินบ่อยๆ ด้วย เพราะผลข้างเคียงต่อตับต่อไต แล้วที่สำคัญเราไม่มีความเสี่ยงหรือไม่ได้ทำอะไรผิดปกติ เราก็ไม่ควรจะไปทำแบบนั้นเพื่อให้ร่างกายจะได้รับผลข้างเคียง
ทางที่ดีผมแนะนำเลย รักเดียวใจเดียว ดีที่สุดครับ แล้วถ้ายังไม่อยากมีบุตรกัน การมีอะไรกันก็ควรจะป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยมันจะดีกว่า ไม่งั้นเขาจะมีถุงยางอนามัยไว้ทำไม”
ตรวจไม่เจอไม่ใช่ไม่แพร่?!
ประเด็นดรามาเกี่ยวกับพีท คนเลือดบวกยังไม่จบแค่นั้น เพราะชายผู้นี้มีการยกงานวิจัยที่พูดถึงการตรวจไม่เจอเชื้อเท่ากับไม่แพร่เชื้อมานำเสนอ ซึ่งคุณหมอสิทธากล่าวว่า ไม่เป็นความจริง และในปัจจุบันยังไม่มียาที่ทำให้เชื้อ HIV เป็นศูนย์
“ไม่จริงครับ ตรวจไม่เจอไม่ใช่เท่ากับไม่แพร่ ตรวจไม่เจอไม่ได้บอกว่าไม่เป็น ต้องตรวจซ้ำถ้ายังมีพฤติกรรมเสี่ยง ถ้าตรวจแล้วเจอเป็นบวกแต่ว่าอาจจะไม่มีอาการ อันนี้ถูกต้อง เพราะคนที่เป็นบวกทุกคน HIV ทุกคนไม่ใช่เท่ากับเป็นเอดส์ HIV ต้องรุนแรง เป็นเต็มที่ถึงจะกลายเป็นเอดส์
คนที่ติดเชื้อ HIV ทั่วไปอาจจะไม่มีอาการก็ได้ จนกระทั่งภูมิคุ้มกันต่ำขึ้นมา ถึงจะอ่อนเพลีย ถึงจะมีตุ่ม มีผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต กินไม่ได้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการต่างๆ ให้เราได้รู้ ต้องเป็นมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว หรือถ้าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า CD4 ต่ำ ก็ติดเชื้อง่าย แล้วเชื้อฉกฉวยที่ทำให้เสียชีวิตบ่อยๆ ก็พวกไข้สมองอักเสบ ปอดอักเสบ
คนที่ติดเชื้อแล้ว มียาของเขาเองที่ต้องกินเพื่อป้องกันปริมาณไวรัสไม่ให้เพิ่มมากขึ้น และป้องกันการแพร่กระจาย แต่ปัจจุบันยังไม่มียาไหนที่ทำให้ไวรัสเหลือเป็นศูนย์นะ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะตรวจบวก แต่ไม่มีอาการ หรือ CD4 ปริมาณเม็ดเลือดขาวตัวนี้ยังสูงก็ตาม แต่ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณจะสามารถป้องกันโรคฉกฉวยที่ทำให้คุณเสียชีวิตได้นะ คุณก็ยังเป็นโรคนี้อยู่”
พร้อมกันนี้ หมอกอล์ฟ ได้กล่าวถึงผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ถึงการใช้ยา PrEP ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากต้องทำตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ต้องตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ และไม่ลืมที่จะใช้ถุงยางอนามัย
“ยา PrEP ต้องกินต่อเนื่องทุกวันตามแพทย์สั่ง ตรวจเลือดดูอาการด้วย แล้วก็ต้องรักเดียวใจเดียว ไม่ไปรับความเสี่ยงเพิ่มอีกครับ สำหรับคนรับเชื้อแล้วจะต้องกิน PEP ฉุกเฉินใน 72 ชั่วโมง แต่ถ้าเกิดติดเชื้อเลย 72 ชั่วโมงแล้ว เป็นโรคไปแล้ว อันนี้ก็คือกินตามคุณหมอนัดเป็นพวก เอแซดที (AZT หรือ Zidovudine หรือ ZDV) หรือยาที่รับตามนัดครับ
และต้องใส่ถุงยางอนามัย แน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าอย่างน้อยเราไม่แพร่เชื้อ เราไม่รับเชื้อใหม่เพิ่มมาอีก แล้วไม่ทำให้เชื้อที่เป็นอยู่มันกลายพันธุ์หรือรักษายากขึ้น
สุดท้าย คุณหมอคนดัง ได้ฝากคำแนะนำไปยังผู้ติดเชื้อ HIV ที่รับยาอย่างต่อเนื่องและต้องการสร้างครอบครัว ก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เพราะถือว่ามีความเสี่ยง รวมถึงฝากไปยังสังคมให้ใช้วิจารณญาณให้มากในการรับข่าวสาร โดยเฉพาะเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างผู้ติดเชื้อ HIV
“มีครอบครัวมันก็ยังได้นะครับ แต่ต้องยอมรับว่าอาจจะทำให้เชื้อของคุณที่มี 2 คน มันมาเจอกันแล้วเพิ่มความรุนแรงของเชื้อมากขึ้น กลายเป็นเพิ่มจำนวนหรือมีการดื้อยาเกิดขึ้นได้ สมมติถ้ามีลูกแล้วก็กลายเป็นครรภ์ที่มีความเสี่ยง แต่คุณหมอก็ยังตรวจดูได้นะ ฝากครรภ์กับคุณหมอ แล้วก็แยกเคสไว้ว่าเป็นเคสที่มีความเสี่ยง ก็ยังสามารถที่จะให้กำเนิดบุตรได้ครับ
โอกาสของลูกที่เกิดมาจะติดเชื้อมีบ้างแต่ก็ไม่ได้จะ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ บางคนใช้วิธีการคัดแยกเชื้อก่อนที่จะผสมเทียม หรือบางทีใช้วิธีอื่น หรือแม้กระทั่งการที่ไม่ได้คลอดทางช่องคลอดแต่ผ่าคลอด ก็ลดการติดเชื้อจากมารดาไปสู่บุตรได้
ส่วนความเชื่อที่ถูกต้องในเรื่องของการมีเซ็กส์ มันก็ควรจะพร้อมกันทั้ง 2 ฝ่าย มันเป็นกิจกรรมที่ทำให้สร้างสานสัมพันธ์ของความรัก ไม่ควรจะไปมีเซ็กส์เพื่อความปลดปล่อยหรือความสนุก เพราะความสนุกเพียงชั่วคราวอาจจะทำให้คุณเกิดการติดโรคหรือว่าอาจทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นผู้ติดเชื้อ อันนี้เรื่องใหญ่เลยนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดอะไรแล้ว เตือนอะไรแล้ว ใครที่เขาเชิญชวนให้ทำอะไรแปลกๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อดีกว่า ให้ใช้ความคิดวิจารณญาณ ถ้าสมมติจำเป็นต้องมีเหตุการณ์ไปยุ่งกับคนที่แปลกหน้าจริงๆ ป้องกันตัวเองไว้เถอะครับ ด้วยการสวมถุงยาง ก็จะเป็นการป้องกันได้ดีครับผม”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **