“ทำหน้าพี่กิ๊กสุวัจนี-เล่นร้ายจนคนเกลียด-เล่นดีจนต้องหลงรัก” นักแสดงสาวตีบทแตกกระจาย ทำเอากระแสละคร 'บุพเพสันนิวาส' โกยเรตติ้งสูงสุดของช่อง! ล่าสุด ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์โลก แถมคนใส่ชุดไทยเที่ยววัดเก่าตามรอยละคร ติดแฮชแท็ก #ออเจ้าทั้งแผ่นดิน ทีมข่าวเปิดใจแม่นายผู้ฉีกทุกบทนางเอกละครไทย “เบลล่า-ราณี แคมเปญ”
“บุพเพสันนิวาส” ฟีเวอร์ ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์โลก!!
ฉุดไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ..แม่นายการะเกด! หลังออกอากาศละครน้ำดีอิงประวัติศาสตร์ 'บุพเพสันนิวาส' ไปเพียงไม่กี่ตอน ล่าสุด โกยเรตติ้งคนดูทั้งพระนครไปแล้ว 22.8 แซงหน้าละครเรื่องอื่นจนตามไม่ทัน! แถมดีกรีความฮอตยังไต่ขึ้นติดอันดับหนึ่งในโลกทวิตเตอร์อีกด้วย น่าชื่นใจแทนนางเอกสาว “เบลล่า-ราณี แคมเปญ” เสียจริง!
หลังจากที่ละครดังและนักแสดงสาวถูกพูดถึงอย่างมากโขในโลกโซเชียลฯ เราได้มีโอกาสพบกับเจ้าของบทบาทที่ตามหาตัวยากที่สุดในเวลานี้ 'เบลล่า-ราณี' พูดคุยถึงกระแสละครที่ดีเกินคาด แม้ช่วงแรกเธอยอมรับว่ามีความรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่ด้วยเนื้อหาของบทประพันธ์ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ทำให้เธอรู้สึกตกหลุมรักและตัดสินใจรับเล่นอย่างไม่ลังเล!
“กระแสตอบรับเกินคาดมากค่ะ ดีมากๆ (ลากเสียง) จริงๆ ตอนที่ถ่ายก็รู้สึกว่าบทสนุกมาก เราเล่นแล้วเรามันส์ แต่เราก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้คนดูจะดูอะไร ชอบอะไร แต่เรารู้แหละว่าละครน้ำดีนะ สอนเกร็ดเล็ก-เกร็ดน้อย รวมถึงมีเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้วย ถือเป็นละครที่ดูแล้วทำให้คนดูอมยิ้ม คลายเครียด แต่ไม่คิดว่าจะมาขนาดนี้ ทั้งกระแสและเรตติ้ง (ยิ้ม)
ตอนอ่านบทตอนแรกรู้สึกว่ายากอยู่เหมือนกันนะคะ อย่างแรกเลยคือเราต้องเล่นเป็นสองตัวละคร ตัวหนึ่งก็ร้ายมากๆ เลย ต้องทำการบ้านด้วยการเวิร์คช็อป หาแบล็กกราวด์ตัวละคร เบลก็เจอว่าพ่อ-แม่เขาตายตั้งแต่เด็ก โดนแย่งสมบัติก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ร้าย ไม่อย่างนั้น มันจะเป็นการร้ายแบบไม่มีที่มาที่ไป”
หลังจากที่ได้ศึกษาภูมิหลังของคาเร็คเตอร์ที่ต้องแสดงแล้ว เธอยังต้องใช้จินตนาการอย่างสูง เนื่องจากว่าละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นละครแนวย้อนยุคจากปัจจุบันสู่อดีต แถมอิงประวัติศาสตร์อีกด้วย
“พอได้ศึกษา ได้ทำการบ้านตรงนี้ เราก็รู้สึกว่าตัวละครมันแข็งแรงแล้วว่า ตัวละครนี้คือการะเกด หลังจากนั้นก็ต้องไปหาคาเรคเตอร์ของเกศสุรางค์ แต่ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจริงใจ เปิดเผย คิดอะไรก็พูดออกมา ชอบทำให้คนรอบข้างมีความสุข ชอบหยอก ชอบแกล้ง กวนนิดๆ เป็นคนตลกเต็มที่
แต่เราก็ต้องคิดเสมอว่าตัวเราอ้วน อย่างตอนที่เล่นปัจจุบันไม่ยากเท่าไหร่ เวลาใส่ชุดแล้วมันเหนอะหนะ มันอึดอัดจริงๆ เลยส่งให้เรารู้สึกว่าอ้วนจริงๆ
แต่พอต้องเป็นเกศสุรางค์ที่มาอยู่ในร่างการะเกดในอดีต เบลต้องใช้จินตนาการเยอะ เพราะเราต้องคิดว่าเรายังเป็นเด็กอ้วนอยู่(หัวเราะ) อีกอย่างเราชอบประวัติศาสตร์มาก เราข้ามภพมาจริงๆ นะ มันจึงต้องใช้จินตนาการค่อนข้างสูงค่ะ
สิ่งที่ยากที่สุดของเรื่องนี้ คือ การที่ทำให้คนเชื่อให้ได้ว่าเราเป็นสองตัวละครจริงๆ สองคนนี้ไม่ใช่คนๆ เดียวกัน มันคล้ายๆ การเล่นเป็นแฝดที่ทำให้คนรู้สึกว่าคนละคนกัน ทั้งๆ ที่นักแสดงที่เล่นคือคนเดียวกัน บางทีมันต้องเล่นสองคนในวันเดียว มันต้องตัดอารมณ์ไปมา มันต้องใช้สมาธิค่อนข้างสูง
ฉะนั้น เลยต้องไปหาคาเร็คเตอร์ตัวละครให้ชัดเจนไปเลยว่า การะเกดเป็นยังไง เกศสุรางค์เป็นยังไง เบลต้องเล่นให้ชัดทั้งสองตัว ให้แยกขาดจากกันไปเลยค่ะ”
อย่างที่เห็นว่าคาเร็คเตอร์ของทั้งสองตัวละครมีความชัดเจนมาก เราจึงอดถามไม่ได้ว่าชีวิตจริงกับตัวละคร 'การะเกด' และ 'เกศสุรางค์' มีความใกล้เคียงกับตัวตนของ 'เบลล่า ราณี' ในมุมไหนบ้าง ซึ่งเธอตอบเราทันทีที่คำถามจบประโยคว่าไม่มีทางใช่ 'การะเกด' แน่นอน!
“คงไม่ใช่การะเกด(หัวเราะ) เบลว่าเป็นเกศสุรางค์มากกว่าค่ะ พอเบลเล่นแล้ว เบลรู้สึกว่าสนุกมากเลย อยากใส่ อยากเติมอะไรเข้าไปอีกเยอะๆ ผู้กำกับก็บอกว่าเต็มที่ อยากเล่นอะไร เล่นไปเลย เดี๋ยวจะบอกเองว่าอะไรมันล้น (หัวเราะ)
มันก็ได้เล่นเป็นตัวเองอยู่นิดหนึ่งแหละ เราก็ไม่ถึงขั้นทำหน้า 'พี่กิ๊ก-สุวจนี' ใส่คนอื่นได้ มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่มันก็มีกลิ่นอายของความเป็นเบลล่าอยู่นิดหนึ่ง(ยิ้ม)
พอได้ถามถึงความยากในตอนที่ต้องสวมคาเร็คเตอร์เป็น 'พี่กิ๊ก-สุวัจนี' นางร้ายตัวแม่ของวงการละครไทย กับวลีเด็ด “หรือต้องร้ายเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าว..พี่ กิ๊ก-สุวัจนี ก็แล้วกัน” จนเกิดกระแสชื่นชมหนักมากในโลกออนไลน์
ทั้งการแชร์ภาพเปรียบเทียบความเหมือนที่ทำได้ดีเกินคาด รวมถึงการแสดงที่ไม่ห่วงสวย ฉีกทุกบทของนางเอกละครไทย เธอยอมรับว่ากว่าจะออกมาอย่างที่เห็น ต้องฝึกฝนอยู่นานทีเดียว
“เอาจริงๆ นะคะ ยาก (เน้นเสียง) พี่ผู้กำกับเอารูปให้เบลดูบอกว่าอยากได้เท่านี้ และก็เป็นหน้าที่เห็นในละครนั่นแหละค่ะที่คนเอามาเทียบกัน แต่ตอนแรกที่เบลเห็นคือพูดกับตัวเองเลยว่า ทำยังไง ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้ องศามันไม่ได้จริงๆ จนมาเจอว่า ต้องเชิดนิดหนึ่งและคว่ำปากลง ซ้อมอยู่นานเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ)
หลังจากที่ละครออกอากาศไป พอมาดูก็รู้สึกตลกตัวเอง แล้วก็อายนิดหน่อย(หัวเราะ) เห็นคนแชร์รูป ใส่คำพูดต่างๆ ก็สนุกดีค่ะ ตอนนั้นทุกกรุ้ป ทุกคนส่งมาให้ดูว่าชอบฉากนี้มาก ตอนแรกๆ ก็อาย หลังๆ ก็เห็นคนเขายิ้มได้ ก็ดีใจค่ะ อย่างน้อยเราก็สร้างความสุขให้กับคนอื่นๆ ได้”
“แต่งชุดไทย-ไปวัดไชยฯ” ปลุกกระแสเที่ยวตามรอยละคร!
“ละครเรื่องนี้ทำให้คนสนใจเรื่องของประวัติศาสตร์มากขึ้น เบลรู้สึกดีใจมากๆ เลยนะคะ มันกลายเป็นกระแสในแง่ที่ดี เบลไม่เคยคาดคิดว่าละครเรื่องหนึ่งจะมีผลต่อความรู้สึกคนดูได้เยอะขนาดนี้”
ความรู้สึกภูมิใจถูกสะท้อนผ่านสายตาของนางเอกสาว หลังเกิดกระแสนักท่องเที่ยวสวมใส่ชุดไทยแห่เที่ยวเมืองโบราณตามรอยละครดัง อีกทั้งยังมีการใช้คำศัพท์โบราณให้เห็นในโลกออนไลน์กันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกภาคภูมิใจในฐานะนักแสดงและทีมงานละครที่ได้เป็นส่วนเล็กๆ ในการนำเสนอประวัติศาสตร์วัดไทย-ชีวิตความเป็นอยู่-วิถีวัฒนธรรมในยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผ่านการถ่ายทอดบทละครให้คนดูเหมือนได้นั่งไทม์ แมชชีนกลับไปสัมผัส
“ก่อนหน้านี้ อาจมีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้คนรู้สึกเครียดหรืออะไรต่างๆ แต่พอเปิดปีใหม่มา มีละครที่ดูแล้วเพลินๆ ดูแล้วยิ้ม คลายเครียด แถมได้ความรู้ด้วยเฉยเลย มีความสนุก มีความตลกให้คนได้หัวเราะ มีความสุข นี่ก็เป็นสิ่งที่ทีมงานละครทำออกมาแล้วรู้สึกว่ามันได้ครบรส”
จริงๆ แล้ว เหมือนเราแค่แอบหยอดนิดหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับยัดเยียดให้คนดู เหมือนเรารำพึงรำพันขึ้นมา แต่ว่าคนจดจำ พอคนเห็นภาพวัดไชยวัฒนาราม ที่ในเรื่องเกศสุรางค์ชื่นชมวัดไชยฯ มาก เราดีใจมากที่ได้ไปเห็นในสมัยก่อนจริงๆ
ที่เห็นว่าซีจีเป็นสีทองมากๆ เขาบอกว่าสมัยก่อนเป็นสีทองแบบนั้นจริงๆ เป็นทองคำจริงๆ ที่ไม่ได้มีการผสมอะไรเลย บางคนคิดว่ามันดูปลอม แต่ความจริงคือมันทองขนาดนั้นเลย ซึ่งในเรื่องเราชื่นชมมาก เห็นอย่างนั้นคนก็ไปท่องเที่ยวชมวัดไชยวัฒนารามตามรอยละคร รู้สึกปลื้มใจมากเลยค่ะ(ยิ้ม)”
เบลคิดว่าด้วยบทละครที่เป็นคนปัจจุบันเข้าไปอยู่ในอดีต เหมือนว่าเรื่องราวในอดีตถูกเล่าผ่านสายตาของคนปัจจุบัน คล้ายกับว่าเราชวนคนดู พาคนดูไปเที่ยวนะว่าสมัยนั้นเป็นยังไง มีอะไรบ้าง รวมถึงเป็นละครที่ย้อนไปในยุคสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชด้วย
ไม่แน่ใจว่าเรื่องแรกหรือเปล่านะคะ แต่ว่าไม่ค่อยมีคนทำละครออกมาในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเพราะว่าประวัติศาสตร์ค่อนข้างมีความสับสนและไม่ค่อยชัดเจนในหลายๆ จุด แต่ด้วยความที่เราไม่รู้ จึงออกมาเป็นรักโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์”
แน่นอนว่าเพราะกระแสละครที่ดีเกินคาดที่นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปทุกที จนทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ ด้วยการถ่ายภาพและส่งต่อผลงานการเขียนนวนิยายของ 'รอมแพง' จนเกิดความเสียหาย ฟากนักแสดงสาวเบลล่าแม้รู้สึกดีใจที่ละครกระแสตอบรับดี แต่รู้สึกเสียใจที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น!
“ทราบข่าวมาบ้างค่ะ เบลก็รู้สึกเสียใจนะคะ เสียใจแทนคนเขียนที่เขาตั้งใจมาก กว่าจะรวบรวมข้อมูลได้ เขาใช้เวลาเยอะมากนะคะ ความจริงมันก็มีโทษทางกฏหมาย แต่ก็อยากรณรงค์ขอความร่วมมือว่าอย่าละเมิดลิขสิทธิ์เลย”
อาชีพนักแสดง = ความสุขของคนดู
“ภาพวงการบันเทิงสำหรับเบล มันเปลี่ยนไปมากนะ เพราะก่อนเข้าวงการ เบลมองไว้แต่ความสวยงาม มองว่าเขาสวย-หล่อ อยู่ในงานได้แต่งตัวสวยๆ แต่พอมาทำงานจริงๆ มันเหนื่อยเหมือนกันนะ”
แม้ทัศนคติด้านการทำงานในวงการบันเทิงของเธอจะเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นก่อนหน้านี้เธอมองว่าอาชีพในเส้นทางนี้มีแต่ความสวยงาม ทว่า เมื่อได้เข้ามาเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว เธอพบว่าทุกอาชีพมีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันหมด ไม่เพียงแต่อาชีพนักแสดงที่อยู่หน้าจอละครที่งดงามเสมอไป
“ในละครบุพเพสันนิวาส เบลมีเกือบทุกฉากเลย ไม่มีวันไหนที่ไม่มี มันเลยค่อนข้างหนัก ถ่ายละคร 4 วันรวด ไปเจออีกเรื่องหนึ่ง เพราะเบลถ่ายสองเรื่องพร้อมกันแทบจะตลอด เป็นอาชีพที่ทำงานหนักหน่วงอยู่เหมือนกัน มีความเสี่ยงเจอทั้งแดดร้อน ฝน ฝุ่น ทุกอย่างเลยค่ะ แต่ว่าเราต้องตัดเรื่องนี้ออกไปหมดเลย
เบลมองแค่ว่างานของเราคือศิลปะ งานของเราเป็นความสุขให้กับคนได้ แม้กระทั่งเวลาเดินไปไหนมาไหน แค่เรายิ้มให้เขา เขาก็ดีใจแล้ว เขามีความสุขที่ได้ขอถ่ายรูป เขาได้เอาภาพไปแชร์ให้คนอื่นดู เบลมองว่าเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละอยู่เหมือนกันนะ ทั้งเรื่องของแรงกาย แต่ก็รู้สึกดีที่ทำให้คนอื่นมีความสุขได้(ยิ้ม)”
ย้อนกลับไปก่อนเข้าสู่วงการบันเทิง เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเคยคิดอยากเป็นแอร์โฮสเตสมาก่อน นั่นเพราะความฝันวัยเด็กที่อยากทำงานและท่องเที่ยวต่างประเทศในเวลาเดียวกัน
ทว่า ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่จะมีคนติดต่อให้ทำงานในวงการบันเทิงอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังไม่ได้ตอบตกลงจนกระทั่งเรียนจบถึงได้เข้าสู่อาชีพนักแสดงอย่างเต็มตัว ซึ่งการที่เธอได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้ เธอเรียกมันว่าบุพเพสันนิวาส
“เบลเคยอยากเป็นแอร์โอสเตสนะสมัยเด็กๆ เลย อยากเดินสวยๆ ลากกระเป๋าอยู่ในสนามบิน ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ เราไม่รู้ว่างานเขาหนักแค่ไหน ตอนนั้นคิดว่าภาษาอังกฤษเราก็ได้นะ เราก็น่าจะเป็นได้ แต่พอเรียนใกล้จบก็เป็นช่อง 3 ที่ติดต่อมา เบลก็ทำงานกับทางช่อง 3 มาตลอดเลย
สำหรับตอนนี้เบลว่าที่ที่เบลอยู่มันมีความสุข ถ้าคนยังอยากดูละครที่เบลเล่น เบลก็คงอยู่ตรงนี้ค่ะ เหมือนเราหาที่ที่ใช่เจอแล้ว มันด้วยโอกาส มันอาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้
อย่างตอนเด็กๆ ก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมากนะคะ แต่คุณพ่อยังไม่อยากให้ทำ อยากให้เรียนให้จบก่อนแล้วอยากเป็นอะไรค่อยเป็น จนพอสุดท้ายมันก็ได้มาอยู่ตรงนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”
เธอเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เธอค่อนข้างซีเรียสกับกระแสวิจารณ์ด้านลบในโลกออนไลน์ แต่หลังจากที่ปรับมุมมองใหม่ก็พบว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปหมดเสียทุกอย่าง เธอจึงตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด เพื่อความสุขของแฟนละคร รวมถึงไม่หยุดที่จะพัฒนาสกิลการแสดงของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนแรกค่อนข้างซีเรียสเหมือนกันนะคะ เบลอยากอ่าน อยากรู้ไปหมดเลย แต่พอมาอยู่ในจุดหนึ่งถึงรู้เลยว่า ต่างคนต่างความคิด ต่างมุมมอง สิ่งที่เราทำ มันอาจจะถูกใจอีกคนหนึ่ง แต่มันอาจไม่ถูกใจอีกคนหนึ่งก็ได้ ซึ่งตรงนี้เราต้องมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรักเราทุกคน แต่ก็ไม่มีใครเกลียดเราทุกคน
ฉะนั้น เราแค่ทำตัวเราให้ดี อย่าไปเสียดายว่าฉันไม่น่าทำอย่างนั้นเลย หรือว่าทำไมฉันไม่ตั้งใจทำงาน เบลก็เป็นเบลอย่างนี้ที่ตั้งใจทำงานของเบล เห็นคนดูชอบดูละคร เบลมีความสุข แค่นี้จริงๆ ค่ะ
สำหรับการพัฒนาการแสดงของเบลก็มีที่ดูผลงานของคนอื่นๆ บ้าง จริงๆ ก็ต้องทำการบ้านอยู่ตลอด เพราะโลกมันยังไม่นิ่งเลย อาชีพของเราก็ไม่นิ่งนะ คนอื่นๆ ก็หมุนเวียนเข้ามา หรือรูปแบบการทำงานก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็ต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน”
“เริ่มใหม่ในวันใหม่ ไม่ยึดติดกับเมื่อวาน”
“จริงๆ เบลไม่ได้มีโค้ดคำพูด(Quote) ติดตัวหรอกนะคะ แต่ถ้าให้นึกถึงประโยคที่คิดว่ายังใช้ได้ในการดำเนินชีวิตเสมอก็คงเป็นการทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
แม้ออกตัวก่อนเลยว่าเธอไม่มีโค้ดคำพูดประจำตัวสักเท่าไหร่ แต่หากพูดถึงเรื่องทัศนคติการใช้ชีวิตและแรงบันดาลใจในการทำงาน เธอมองว่าการทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็ยังคงเป็นประโยคคำพูดที่ไม่ว่าผ่านเวลามายาวนานแค่ไหนก็ยังคงใช้ได้จริงเสมอ
“เบลว่า 'การทำวันนี้ให้ดีที่สุด' เพราะไม่ใช่แค่ทำในเรื่องของการทำงานอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการใช้ชีวิต การดูแลครอบครัวด้วย อย่างสมมติว่าเบลมีเรื่องไม่สบายใจมากเลยที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่พอมันข้ามมาเป็นวันนี้ มันคือวันใหม่แล้ว เราก็ต้องเริ่มใหม่แล้ว เราก็ทำวันนี้ให้ดี ไม่ใช่ว่าติดกับเมื่อวาน
รวมถึงเรื่องความสำเร็จด้วย เบลไม่ได้อยู่ในคำชมตลอดไป พอเราเริ่มทำงานใหม่ๆ เราก็ต้องมารีเซ็ตตัวเองใหม่ ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เรายึดติดอยู่กับที่ เบลเลยรู้สึกว่าต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ที่สำคัญ คือ เรื่องครอบครัว การให้เวลากับครอบครัวหรือคนใกล้ตัวที่เราชอบมองข้าม ซึ่งความจริงแล้วคนเหล่านี้คือกำลังใจที่ดีที่สุดของเรา เขาเป็นคนที่ทำให้เรามาอยู่ที่จุดนี้ได้ เบลว่าตรงนี้สำคัญ”
เธอเล่าย้อนวัยเด็กให้ฟังว่าครอบครัวของเธอมีวิธีการเลี้ยงดูในแบบที่ให้เธอได้คิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเรื่องการเรียนที่ผ่านมาหรือชีวิตการทำงานในวงการบันเทิง ครอบครัวไม่เคยตัดสินใจแทน เพียงแต่รับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับเธอมากกว่า
“ที่บ้านเบลเป็นครอบครัวเดี่ยว เราอยู่กันพ่อ-แม่-ลูก จริงๆ ก็มีญาติแม่ด้วยนะคะ แต่ในบ้านหลักๆ เลยจะอยู่ด้วยกัน 3 คน ที่บ้านจะเลี้ยงแบบให้เบลคิดเอง ให้ตัดสินใจเอง เบลมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบในบ้านตั้งแต่เด็ก อย่างสมมติต้องล้างจานหรือทำงานบ้าน
วิธีการเลี้ยงดูของครอบครัวเบลก็ไม่เชิงว่าเป็นเพื่อน อย่างคุณแม่เบล ตอนที่มีเบล แม่อายุ 20 กว่าๆ แม่ก็เหมือนเป็นได้ทั้งเพื่อน ทั้งพี่สาว เป็นที่ปรึกษาได้ เล่าได้ทุกอย่างและไม่ตัดสินแทน
ส่วนตอนเด็กๆ ที่บ้านจะให้เรียนโรงเรียนไทย เพราะว่าเบลเกิดและโตที่เมืองไทย เราอยู่เมืองไทย เราก็ต้องเรียนโรงเรียนไทยให้รู้จักปรับตัวเข้ากับสังคมไทย เพราะที่บ้านอินเตอร์แล้ว อยู่ข้างนอกก็เรียนโรงเรียนไทย”
หากให้บอกตัวตนของสาวเบลล่าว่าระหว่างพ่อและแม่ เธอมีลักษณะนิสัยคล้ายใครมากกว่ากัน คิดอยู่ครู่เธอจึงให้คำตอบกับเราว่าเธอคิดว่าตัวเองได้ความหัวดีจากพ่อ และได้นิสัยการเป็นคนเฟรนลี่มาจากแม่
“เบลได้พ่อที่หัวดี พ่อเป็นคนเก่งทั้งเรื่องของความคิดและเรื่องของวิชาการด้วย พ่อเก่งทุกด้านเลยค่ะ มันเหมือนชมตัวเองเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ) ส่วนแม่จะเป็นคนไนซ์ เป็นคนมองโลกในแง่ดี เป็นคนมีความสุข ไม่คิดมาก
จริงๆ เบลสนิทกับพ่อ-แม่คนละเรื่อง สนิทกันคนละอย่างนะคะ แล้วแต่เรื่อง อย่างเวลาที่เบลอยู่กับพ่อ เขาก็จะชอบเล่าประสบการณ์ ให้ความรู้สึกสอนเนียนๆ ให้เบลฟัง เหมือนลูกสาวกับคุณพ่อก็จะมีความอบอุ่น
ส่วนแม่ เบลอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เล่าอะไรก็ได้ เป็นตัวเองได้เต็มที่ แม่ก็จะโดนเบลแกล้งเยอะ เพราะแม่เบลแบ๊วๆ (หัวเราะ) อย่างเรื่องความรักที่บ้านเบลก็ห่วงนะ อาจจะไม่ใช่หวง แต่เป็นห่วงมากกว่าค่ะ มีอะไรที่บ้านก็อยากให้เล่า เบลก็เล่าให้ฟังทุกอย่างเลย ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่มีความสบายใจที่จะเล่าให้ฟังมากกว่า”
ความรัก “การกระทำ-ความสบายใจ” สำคัญที่สุด!
“ตอนนี้ก็เรื่อยๆ นะคะ ก็มีความสุขดี(ยิ้ม)” ทันทีที่เปิดประเด็นถึงเรื่องความรักและความสัมพันธ์กับนักแสดงหนุ่ม 'เวียร์-ศุกลวัฒน์' ที่สังคมต่างให้ความสนใจ เห็นจากที่ช่วงหลังมานี้มีการออกงานคู่กันอยู่บ่อยครั้ง แถมฝ่ายชายยังขยันลงภาพสาวเบลล่าในอินสตาแกรมส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ทำเอาแฟนๆ ที่ติดตามทั้งคู่ฟินกระจาย
ล่าสุด เราจึงขอให้เธออัพเดตสถานะและคำจำกัดความในความสัมพันธ์กับหนุ่มเวียร์สักหน่อย
“มุมมองความรักสำหรับเบล คิดว่าคำจำกัดความมันไม่เท่ากับการกระทำ สำหรับตัวเบลมองนะ เบลไม่ได้มากำหนดว่าถ้าเป็นแฟนต้องแบบนั้น แบบนี้ มันไม่ใช่ มันทำไม่ได้อย่างนั้นหรอก
เราดูที่ความรู้สึก ที่การกระทำ ดูที่ความสบายใจของเรามากกว่าว่าเรามีความสุข ไม่ได้รู้สึกอึดอัด และมีความสุขทั้งสองฝ่ายก็โอเคแล้วค่ะ พูดรวมๆ ณ ตอนนี้คือมีความสุขค่ะ”
นอกจากนี้ เธอยังบอกด้วยว่าได้เห็นกระแสภาพยนตร์ชายรักชาย จากเรื่อง 'มะลิลา' ที่พระเอกหนุ่มรับเล่น ส่วนตัวคิดว่าอยากดูภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีเวลาและโอกาส ทั้งยังบอกด้วยว่าฝ่ายชายเล่าให้ฟังถึงการรับเล่นบทภาพยนตร์ในครั้งนี้ว่าเป็นการเปิดมุมมองด้านการทำงานที่ดีทีเดียว
“ยังไม่ได้ดูเลย แต่เห็นกระแสอยู่ เบลอยากดูนะ แต่ว่าเบลยังไม่มีโอกาสได้ดูเลย ตอนรับเล่นหนังเรื่องนี้ พี่เขาไม่ได้ปรึกษานะคะว่าต้องเล่นหนังแบบชายรักชาย แต่มีมาเล่าให้ฟังมากกว่า เพราะว่าไม่ได้ตัดสินว่าเป็นเพราะเรื่องความรัก
แต่ดูในเรื่องของเนื้อเรื่องทั้งหมด ทั้งผู้กำกับและความน่าสนใจ ที่พี่เขาบอกนะคะว่าเป็นการเปิดมุมมองด้านการทำงาน เพราะพี่เขาก็ไม่เคยทำงานแนวนี้ หรือเล่นหนังประเภทนี้มาก่อน”
ดูเหมือนว่าความหวานของทั้งคู่ ค่อยๆ มีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เราจึงอยากรู้ว่าเธอเองได้มองภาพความรักของตนในอีก 5-10 ปีไว้ว่าอย่างไรบ้าง ซึ่งเธอได้บอกกับเราว่าไม่เคยเอาเงื่อนไขของเวลาและสังคมมากำหนดให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกกดดัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทั้งสองคนมีความสุขแล้ว
“เบลไม่เอาเวลามากำหนด เบลเป็นคนที่ไม่เอาเงื่อนไขของเวลา หรือเงื่อนไขของสังคมหรืออะไรต่างๆ มากำหนด เพราะเบลรู้สึกว่าการที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นเรื่องของความเข้าใจระหว่างกันมากกว่า มันไม่ใช่เงื่อนไขของอะไรต่างๆ ที่มาเร่งรัด หรือทำให้ต่างฝ่ายต่างกดดัน ณ เวลานี้มันดีอยู่แล้ว"
“ดวงตา-เอวตัว S” นี่แหละเซ็กซี่ที่สุด!
หากใครได้ติดตามอินสตาแกรมส่วนตัวของสาวเบลล่า '@Bellacampen' คงได้เห็นภาพเธอใส่ชุดออกกำลังกายโชว์กล้ามท้องเซ็กซี่ๆ ให้เห็นอยู่บ้าง ถือได้ว่าเป็นนักแสดงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างเฟิร์ม-กระชับติดอันดับหุ่นสวยที่สุดเลยก็ว่าได้ จนหลายคนยกให้เธอเป็นไอดอลด้านการออกกำลังกายไปซะแล้ว!
“เบลชอบออกกำลังกายนะ มันคือส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเอง เพราะเราทำงานแบบนี้ ทั้งเรื่องสุขภาพด้วยและรูปร่างต่างๆ เบลรู้สึกเลยว่าหลังจากที่เบลได้รู้จักการออกกำลังกายอย่างจริงจัง เบลได้ศึกษาทั้งเรื่องการกินอาหารและการออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ เบลรู้สึกว่าร่างกายเบลแข็งแรงขึ้น หน้าตาผิวพรรณมันไปด้วยกันหมดเลย
มันทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น พอทำแล้วเบลรู้สึกเลยว่ามันเป็นกิจกรรมที่ทำให้ตัวเราเองดีขึ้น แต่ช่วงนี้อาจเข้าฟิตเนสน้อยค่ะ เพราะต้องถ่ายละคร แต่ก็พยายามหาเวลาออกกำลังกาย อย่างเช่นถ้านัดกองสายหน่อย เบลอาจมีเวลาน้อย แต่เบลก็วิ่งในหมู่บ้านได้ แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ เลย อาจจะยืดเส้นยืดสาย โยคะก่อนนอนหรือตอนเช้าค่ะ”
ส่วนกล้ามท้องที่เห็น จริงๆ เบลเล่นนานเหมือนกันนะคะ แต่ไม่ถึงขนาดจะบิ๊วซิดแพ็คหรอก เบลเล่นหลายๆ อย่างมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่พอมีเทรนเนอร์ อยู่ๆ กล้ามท้องก็ขึ้นชัดมากเลยค่ะ เพราะเหมือนมันมีอยู่แล้วข้างใน แต่มันต้องใช้ท่าออกกำลังกายเฉพาะ หรือมีการควบคุมอาหาร ด้วยการตัดอาหารบางประเภทออกไปถึงจะเห็นขึ้นมาอย่างในรูป”
อย่างที่เห็นว่าเธอมีแพสชั่น(Passion)ด้านการออกกำลังกายมากทีเดียว เราเลยแอบถามเธอสักหน่อยว่าคิดว่าส่วนไหนในร่างกายที่เธอคิดว่า นี่แหละคือส่วนที่ 'เซ็กซี่' ที่สุด!
“เบลว่าตา ไม่รู้สิ(ยิ้ม) เบลว่าตามันบอกได้ทุกอย่าง อย่างบางทีเวลาถ่ายรูป เบลจะเหมือนมีคำพูดในใจที่เราสื่อสารออกมาทางสายตา คิดว่าตานะคะ กับเอวเอส(หัวเราะ) เป็นสิ่งที่ภูมิใจมาก
จริงๆ เบลชอบเล่นฮูลาฮูปมาแต่เด็กอยู่แล้ว มันก็เลยเหมือนเราแอบมีเอวอยู่แล้วหน่อยๆ แต่มีช่วงหนึ่งที่เบลเป็นเด็กอ้วนขึ้นมานิดหนึ่ง เราเอนจอยอิทติ้งมากไปหน่อย มันก็เลยอวบๆ ขึ้นมา แต่ตอนนี้หุ่นอยู่ในระดับที่พอใจแล้วค่ะ(ยิ้ม)”
ทิ้งท้ายกันเรื่องการออกกำลังกายและความสนใจ เธอบอกว่าปีนี้มีแพลนตั้งใจอยากเรียนดำน้ำดูสักตั้ง เหตุผลก็เพราะว่าอยากเปิดประสบการณ์และมุมมองให้กับตัวเองในกิจกรรมที่ต่างออกไป
“ปีนี้ตั้งใจอยากเรียนดำน้ำดูค่ะ รู้สึกอยากเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากการไปเที่ยว เราก็เที่ยวมาหลายๆ ที่ หลายๆ แบบแล้ว คนรอบข้างก็แนะนำให้ลองไปดำน้ำดูสิ เบลก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี น่าจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับเราได้”
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ และ IG: @Bellacampen
สถานที่ Prestige Flower Coffee&Tea Room